ข่าวในประเทศ - 2 บิ๊กค่ายรถยักษ์ “ฟอร์ด มอเตอร์” หนึ่งในนั้นเป็นอดีตรองผู้ช่วยประธานาธิบดีสหรัฐฯ “จอร์จ บุช” บินมาถกภาครัฐบาล และขอคำตอบนโยบายหนุนรถยนต์ใช้น้ำมัน E85 แนะแนวทางควรจะต้องให้การสนับสนุนภาษี หรือช่วยลดภาระค่าน้ำมันได้ 30-35% ประกาศหากได้รับไฟเขียวพร้อมผลิตรถได้ทันทีภายใน 6 เดือน ย้ำยังให้ความสำคัญกับฐานการผลิตในไทย และเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของฟอร์ด
เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) นายซีอัด เอส.โอแจคลี รองประธานฝ่ายรัฐกิจและชุมชนสัมพันธ์ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ซึ่งระหว่างปี 2544-2547 เคยทำงานกับประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในตำแหน่งรองผู้ช่วยประธานาธิปดีฝ่ายกฏหมายประจำสำนักหัวหน้าผู้ประสานงานของประธานาธิบดีสหรัฐกับวุฒิสภา พร้อมด้วยนางซูซาน ซิซกี รองประธานอาวุโส ฝ่ายการดำเนินการอย่างยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และวิศวกรรมด้านความปลอดภัย ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้เดินทางมาประเทศไทยและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงทิศทางของฟอร์ดในประเทศไทยและภูมิภาคนี้
โดยนายซีอัดกล่าวว่า การเดินทางมาภูมิภาคเอเชียและโดยเฉพาะประเทศไทยครั้งนี้ มีความสำคัญกับฟอร์ดเป็นอย่างมาก เพราะตลอดช่วงเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ฟอร์ดได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย อย่างที่ประเทศจีนได้ลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และในอินเดียก็ได้มีการตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ ส่วนประเทศไทยได้ลงทุนขยายการผลิตรถเล็ก ที่คาดว่าจะแนะนำสู่ตลาดได้ในปี 2552
“เอเชียเป็นตลาดที่สำคัญของฟอร์ด ฉะนั้นการเข้าไปลงทุนประเทศนั้นๆ ฟอร์ดจึงถือเสมือนเป็นเพื่อนบ้านของเรา เหตุนี้จึงพร้อมที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา หรือลดปัญหาให้กับเพื่อนบ้าน นโยบายของฟอร์ดจึงต้องสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นทางธุรกิจ เศรษฐกิจ และที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยไทยก็อยู่ในเป้าหมายที่ฟอร์ดจะเข้าไปสร้างสมดุลตรงนี้ ผ่านโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการในอนาคต”
ทั้งนี้ปัญหาปัจจุบันของทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทยที่กำลังเจออยู่ขณะนี้ คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สิ่งที่จะช่วยสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คือพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ที่สามารถผลิตได้ในไทย ซึ่งบริษัทรถยนต์มีความพร้อมและเทคโนโลยีอยู่แล้ว รวมถึงฟอร์ดที่ปัจจุบันมีรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมัน E85 ในหลายประเทศ อาทิ บราซิล และสหรัฐอเมริกา
“รัฐบาลไทยมีบทบาทอย่างสูงที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันแพง และน้ำมัน E85 คือคำตอบที่เหมาะสมในขณะนี้ ดังนั้นจึงอยากถามว่ารัฐบาลไทยพร้อมหรือยัง ซึ่งหากจะทำให้สำเร็จรัฐบาลจะต้องดำเนินการ 2 ทางเลือก ได้แก่ ลดภาษีสรรพสามิต หรือสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ใช้รถหันมาเติมน้ำมัน E85 แน่นอนส่วนต่างของราคาปัจจุบัน จะต้องอยู่ในระดับ 30-35%” นายซีอัดกล่าวและว่า
สำหรับการมาครั้งนี้ฟอร์ดจะเข้าไปพบและพูดคุยกับตัวแทนรัฐบาลไทย เพื่อแจ้งขอเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันและมลภาวะสิ่งแวดล้อม โดยจะชี้แจงถึงความพร้อมของผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี ข้อดีและเสียต่างๆ ซึ่งฟอร์ดได้แสดงให้เห็นมาแล้ว ในการเป็นผู้นำผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน E20 แม้จะมีปัญหาบ้างในการผลักดันช่วงแรก แต่ปัจจุบันได้ยืนยันถึงการมองอนาคตที่ถูกต้องของฟอร์ดแล้ว และฟอร์ดเชื่อมั่นน้ำมัน E85 คือทิศทางที่เหมาะสมที่สุด ถึงจะมีผู้ผลิตบางรายยังไม่ผลักดันมากนัก แต่สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป ที่สุดจะทำให้ทุกฝ่ายหันมามองพลังงานทางเลือกตรงนี้ เช่นเดียวกับน้ำมัน E20 ดังนั้นจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลไทยมีความพร้อมหรือยัง
นางซูซานกล่าวว่า ฟอร์ดเป็นผู้นำด้านพลังงานทางเลือก และในไทยก็เป็นผู้ริเริ่มผลิตรถใช้น้ำมัน E20 ซึ่งในสภาวะปัจจุบันที่โลกกับกำลังประสบกับปัญหาโลกร้อน และราคาน้ำมันแพง พลังงานน้ำมัน E85 จะสามารถช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้มาก และรัฐบาลไม่ต้องห่วงเรื่องการผลิตรถยนต์ ฟอร์ดยืนยันมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที
“อยากจะให้รัฐบาลเข้ามาผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ และฟอร์ดก็พร้อมที่จะช่วยให้เห็นผล ซึ่งหากรัฐบาลส่งสัญญาณหรือประกาศความพร้อมเมื่อไหร่ หลังจากนั้นอีก 6 เดือน ฟอร์ดสามารถจะผลิตรถออกมาได้เลย นั่นหมายความว่าหากเร็วๆ นี้ รัฐบาลไทยประกาศให้การสนับสนุนน้ำมัน E85 รถยนต์เล็ก ฟอร์ด เฟียสต้า ที่เราเพิ่งประกาศลงทุนผลิตในไทย และคาดว่าจะแนะนำสู่ตลาดได้ในปี 2552 จะเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85, E10 และ E20 ได้ทันที”
ส่วนเรื่องการแนวทางการสนับสนุน ให้เกิดความแพร่หลายในการใช้น้ำมัน E85 รัฐบาลไม่น่าจะมองว่าเป็นปัญหา เพราะในเมื่อได้สนับสนุนการใช้น้ำมัน E10 และ E20 มาแล้ว ดังนั้นรถยนต์ใช้น้ำมัน E85 ที่เป็นคำตอบเหมาะสมที่สุดในปัจจุบันและอนาคต เกี่ยวกับเรื่องของพลังงานทางเลือก จึงต้องควรที่จะเป็นไปในทิศทางหรือแนวทางเดียวกัน
สำหรับนโยบายการสนับสนุนพลังงานที่หลากหลายของรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ ไบโอดีเซล หรือเอทานอล ฟอร์ดเข้าใจบทบาทของผู้บริหารประเทศ ที่จะต้องมีทางเลือกให้กับประชาชน แต่หากนำข้อดีและข้อเสียต่างๆ มาพิจารณา จะเห็นว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นพลังงานที่ยืดหยุ่น แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันจะเปลี่ยนไปเช่นไรก็ตาม ผู้ใช้รถก็ยังสามารถเลือกใช้พลังงานได้ ขณะที่ก๊าซธรรมชาติ หรือ CNG (เมืองไทยเรียก NGV) เมื่อเลือกแล้วผู้บริโภคไม่สามารถเปลี่ยน หรือกลับมาใช้น้ำมันได้เช่นเดิม ที่สำคัญสามารถใช้วัตถุดิบจากพืชผลการเกษตรในไทยเอง ทำให้ราคาไม่สูงและเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) นายซีอัด เอส.โอแจคลี รองประธานฝ่ายรัฐกิจและชุมชนสัมพันธ์ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ซึ่งระหว่างปี 2544-2547 เคยทำงานกับประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในตำแหน่งรองผู้ช่วยประธานาธิปดีฝ่ายกฏหมายประจำสำนักหัวหน้าผู้ประสานงานของประธานาธิบดีสหรัฐกับวุฒิสภา พร้อมด้วยนางซูซาน ซิซกี รองประธานอาวุโส ฝ่ายการดำเนินการอย่างยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และวิศวกรรมด้านความปลอดภัย ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้เดินทางมาประเทศไทยและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงทิศทางของฟอร์ดในประเทศไทยและภูมิภาคนี้
โดยนายซีอัดกล่าวว่า การเดินทางมาภูมิภาคเอเชียและโดยเฉพาะประเทศไทยครั้งนี้ มีความสำคัญกับฟอร์ดเป็นอย่างมาก เพราะตลอดช่วงเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ฟอร์ดได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย อย่างที่ประเทศจีนได้ลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และในอินเดียก็ได้มีการตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ ส่วนประเทศไทยได้ลงทุนขยายการผลิตรถเล็ก ที่คาดว่าจะแนะนำสู่ตลาดได้ในปี 2552
“เอเชียเป็นตลาดที่สำคัญของฟอร์ด ฉะนั้นการเข้าไปลงทุนประเทศนั้นๆ ฟอร์ดจึงถือเสมือนเป็นเพื่อนบ้านของเรา เหตุนี้จึงพร้อมที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา หรือลดปัญหาให้กับเพื่อนบ้าน นโยบายของฟอร์ดจึงต้องสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นทางธุรกิจ เศรษฐกิจ และที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยไทยก็อยู่ในเป้าหมายที่ฟอร์ดจะเข้าไปสร้างสมดุลตรงนี้ ผ่านโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการในอนาคต”
ทั้งนี้ปัญหาปัจจุบันของทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทยที่กำลังเจออยู่ขณะนี้ คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สิ่งที่จะช่วยสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คือพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ที่สามารถผลิตได้ในไทย ซึ่งบริษัทรถยนต์มีความพร้อมและเทคโนโลยีอยู่แล้ว รวมถึงฟอร์ดที่ปัจจุบันมีรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมัน E85 ในหลายประเทศ อาทิ บราซิล และสหรัฐอเมริกา
“รัฐบาลไทยมีบทบาทอย่างสูงที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันแพง และน้ำมัน E85 คือคำตอบที่เหมาะสมในขณะนี้ ดังนั้นจึงอยากถามว่ารัฐบาลไทยพร้อมหรือยัง ซึ่งหากจะทำให้สำเร็จรัฐบาลจะต้องดำเนินการ 2 ทางเลือก ได้แก่ ลดภาษีสรรพสามิต หรือสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ใช้รถหันมาเติมน้ำมัน E85 แน่นอนส่วนต่างของราคาปัจจุบัน จะต้องอยู่ในระดับ 30-35%” นายซีอัดกล่าวและว่า
สำหรับการมาครั้งนี้ฟอร์ดจะเข้าไปพบและพูดคุยกับตัวแทนรัฐบาลไทย เพื่อแจ้งขอเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันและมลภาวะสิ่งแวดล้อม โดยจะชี้แจงถึงความพร้อมของผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี ข้อดีและเสียต่างๆ ซึ่งฟอร์ดได้แสดงให้เห็นมาแล้ว ในการเป็นผู้นำผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน E20 แม้จะมีปัญหาบ้างในการผลักดันช่วงแรก แต่ปัจจุบันได้ยืนยันถึงการมองอนาคตที่ถูกต้องของฟอร์ดแล้ว และฟอร์ดเชื่อมั่นน้ำมัน E85 คือทิศทางที่เหมาะสมที่สุด ถึงจะมีผู้ผลิตบางรายยังไม่ผลักดันมากนัก แต่สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป ที่สุดจะทำให้ทุกฝ่ายหันมามองพลังงานทางเลือกตรงนี้ เช่นเดียวกับน้ำมัน E20 ดังนั้นจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลไทยมีความพร้อมหรือยัง
นางซูซานกล่าวว่า ฟอร์ดเป็นผู้นำด้านพลังงานทางเลือก และในไทยก็เป็นผู้ริเริ่มผลิตรถใช้น้ำมัน E20 ซึ่งในสภาวะปัจจุบันที่โลกกับกำลังประสบกับปัญหาโลกร้อน และราคาน้ำมันแพง พลังงานน้ำมัน E85 จะสามารถช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้มาก และรัฐบาลไม่ต้องห่วงเรื่องการผลิตรถยนต์ ฟอร์ดยืนยันมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที
“อยากจะให้รัฐบาลเข้ามาผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ และฟอร์ดก็พร้อมที่จะช่วยให้เห็นผล ซึ่งหากรัฐบาลส่งสัญญาณหรือประกาศความพร้อมเมื่อไหร่ หลังจากนั้นอีก 6 เดือน ฟอร์ดสามารถจะผลิตรถออกมาได้เลย นั่นหมายความว่าหากเร็วๆ นี้ รัฐบาลไทยประกาศให้การสนับสนุนน้ำมัน E85 รถยนต์เล็ก ฟอร์ด เฟียสต้า ที่เราเพิ่งประกาศลงทุนผลิตในไทย และคาดว่าจะแนะนำสู่ตลาดได้ในปี 2552 จะเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85, E10 และ E20 ได้ทันที”
ส่วนเรื่องการแนวทางการสนับสนุน ให้เกิดความแพร่หลายในการใช้น้ำมัน E85 รัฐบาลไม่น่าจะมองว่าเป็นปัญหา เพราะในเมื่อได้สนับสนุนการใช้น้ำมัน E10 และ E20 มาแล้ว ดังนั้นรถยนต์ใช้น้ำมัน E85 ที่เป็นคำตอบเหมาะสมที่สุดในปัจจุบันและอนาคต เกี่ยวกับเรื่องของพลังงานทางเลือก จึงต้องควรที่จะเป็นไปในทิศทางหรือแนวทางเดียวกัน
สำหรับนโยบายการสนับสนุนพลังงานที่หลากหลายของรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ ไบโอดีเซล หรือเอทานอล ฟอร์ดเข้าใจบทบาทของผู้บริหารประเทศ ที่จะต้องมีทางเลือกให้กับประชาชน แต่หากนำข้อดีและข้อเสียต่างๆ มาพิจารณา จะเห็นว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นพลังงานที่ยืดหยุ่น แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันจะเปลี่ยนไปเช่นไรก็ตาม ผู้ใช้รถก็ยังสามารถเลือกใช้พลังงานได้ ขณะที่ก๊าซธรรมชาติ หรือ CNG (เมืองไทยเรียก NGV) เมื่อเลือกแล้วผู้บริโภคไม่สามารถเปลี่ยน หรือกลับมาใช้น้ำมันได้เช่นเดิม ที่สำคัญสามารถใช้วัตถุดิบจากพืชผลการเกษตรในไทยเอง ทำให้ราคาไม่สูงและเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย