หลังจากทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2003 ถึงตอนนี้นิสสันขยับตัวเพิ่มความสดให้กับเอสยูวีระดับหรูรุ่นมูราโนครั้งใหม่ ที่เปิดตัวออกมาให้ยลโฉมในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2007 เมื่อวันที่ 16-25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อดักเงินในกระเป๋าลูกค้าเอาไว้ก่อนที่จะเริ่มขายจริงในช่วงกลางปีหน้า
งานนี้จะเรียกว่าเป็นของใหม่สดแบบแกะกล่องทั้งคันก็คงลำบากไปนิด เพราะแม้ว่านิสสันจะบอกในเอกสารสำหรับสื่อมวลชนว่าเป็นสายพันธุ์ที่ 2 และพัฒนาบนพื้นตัวถังใหม่แบบ D-Platform แบบเดียวกับที่ใช้ในซีดานขนาดกลางรุ่นอัลติมา (ของเดิม FF-L Platform) แต่เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างตัวถังโดยรวมแล้ว ในรุ่นใหม่มีโครงร่างและเส้นตัวถังคล้ายของเดิมมาก หรือแม้แต่ระยะฐานล้อก็ยังเท่าเดิมที่ 111.2 นิ้ว หรือ 2,824 มิลลิเมตร
จะต่างไปก็ในส่วนของรายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอกหลักๆ เช่น ไฟหน้าทรงใหม่แบบ HID ฝากระโปรงหน้า แก้มตัวถังด้านหน้า ไฟท้ายเปลี่ยนทั้งรูปทรงและหันมาใช้หลอด LED หรือกันชนหน้า-หลังใหม่ ซึ่งทำให้มีมิติตัวถังภายนอกต่างออกไป เช่น ความยาว 4,787 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 22 มิลลิเมตร) และกว้างเท่าเดิม 1,879 มิลลิเมตร รวมถึงรายละเอียดของห้องโดยสารที่มีการออกแบบและใช้แผงหน้าปัดชุดใหม่ทั้งหมด จนน่าจะเรียกว่าเป็นบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ มากกว่าโมเดลเชนจ์ ขณะที่ประตูทั้ง 4 บานแม้มีเส้นสายและขอบคิ้วกันกระแทกแตกต่างออกไป แต่รูปทรงของกรอบและบานประตูก็ยังคล้ายกับรุ่นเดิม
ในส่วนของเครื่องยนต์ยังคงเป็นรหัส VQ35DE แบบวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 3,500 ซีซี เช่นเคยแต่มีการปรับปรุงรายละเอียดหลากหลายประการ จนทำให้มีเรี่ยวแรงขยับจาก 240 แรงม้า มาเป็น 265 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 34.2 กก.-ม.
ส่วนระบบส่งกำลังก็ยังเป็นแบบอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT เช่นเคย แต่เป็นรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมระบบ with Adaptive Shift Control (ASC) เพื่อควบคุมการทำงานของเกียร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แน่นอนว่าเลย์เอาท์การวางเครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม คือ เป็นแบบวางขวางเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่ามูราโนใหม่ยังนำเสนอมทางเลือกของระบบขับเคลื่อนให้กับลูกค้าได้สัมผัสเหมือนเดิม คือ มีทั้งแบบขับล้อหน้าอย่างเดียว หรือว่าจะเป็นแบบ 4 ล้อตลอดเวลา AWD
ระบบกันสะเทือนเป็นแบบเดิม คือ สตรัทที่ด้านหน้า และมัลติลิงค์ที่ด้านหลัง แต่เพื่อให้น้ำหนักตัวรถลดลงและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น นิสสันเลือกนำอะลูมิมีเนียมมาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนของระบบกันสะเทือนมากขึ้น เช่นเดียวกับการปรับปรุงมุมองศาทางเรขาคณิตของระบบช่วงล่างเพื่อให้มีการตอบสนองต่อการใช้งานที่ดีขึ้นทั้งในเชิงความนุ่มนวลและความหนึบในขณะขับขี่ และเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อแม็ก 2 ขนาด 18 หรือ 20 นิ้วขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยจากโรงงาน
ระบบความปลอดภัยครบครันด้วยถุงลมนิรภัย 6 ใบจากโรงงาน ด้านหน้าเป็นแบบพองตัวได้ 2 ระดับรุ่นใหม่ Nissan Advanced Air Bag System (AABS) พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับว่ามีคนนั่งอยู่ด้านหน้าหรือไม่ รวมถึงระบบควบคุมการทรงตัวหรือ VSC และมีระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง หรือ Tire Pressure Monitor System (TPMS) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน
ไลน์การผลิตยังอยู่ที่เดิม คือ โรงงานเคียวชูของนิสสันในญี่ปุ่น โดยการทำตลาดจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางปีหน้า ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนเรื่องจะขายในญี่ปุ่นเหมือนกับรุ่นที่แล้วหรือไม่นั้นยังไม่เปิดเผย เช่นเดียวกับราคา ที่คาดว่าจะแพงขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อยเท่านั้น
งานนี้จะเรียกว่าเป็นของใหม่สดแบบแกะกล่องทั้งคันก็คงลำบากไปนิด เพราะแม้ว่านิสสันจะบอกในเอกสารสำหรับสื่อมวลชนว่าเป็นสายพันธุ์ที่ 2 และพัฒนาบนพื้นตัวถังใหม่แบบ D-Platform แบบเดียวกับที่ใช้ในซีดานขนาดกลางรุ่นอัลติมา (ของเดิม FF-L Platform) แต่เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างตัวถังโดยรวมแล้ว ในรุ่นใหม่มีโครงร่างและเส้นตัวถังคล้ายของเดิมมาก หรือแม้แต่ระยะฐานล้อก็ยังเท่าเดิมที่ 111.2 นิ้ว หรือ 2,824 มิลลิเมตร
จะต่างไปก็ในส่วนของรายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอกหลักๆ เช่น ไฟหน้าทรงใหม่แบบ HID ฝากระโปรงหน้า แก้มตัวถังด้านหน้า ไฟท้ายเปลี่ยนทั้งรูปทรงและหันมาใช้หลอด LED หรือกันชนหน้า-หลังใหม่ ซึ่งทำให้มีมิติตัวถังภายนอกต่างออกไป เช่น ความยาว 4,787 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 22 มิลลิเมตร) และกว้างเท่าเดิม 1,879 มิลลิเมตร รวมถึงรายละเอียดของห้องโดยสารที่มีการออกแบบและใช้แผงหน้าปัดชุดใหม่ทั้งหมด จนน่าจะเรียกว่าเป็นบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ มากกว่าโมเดลเชนจ์ ขณะที่ประตูทั้ง 4 บานแม้มีเส้นสายและขอบคิ้วกันกระแทกแตกต่างออกไป แต่รูปทรงของกรอบและบานประตูก็ยังคล้ายกับรุ่นเดิม
ในส่วนของเครื่องยนต์ยังคงเป็นรหัส VQ35DE แบบวี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 3,500 ซีซี เช่นเคยแต่มีการปรับปรุงรายละเอียดหลากหลายประการ จนทำให้มีเรี่ยวแรงขยับจาก 240 แรงม้า มาเป็น 265 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 34.2 กก.-ม.
ส่วนระบบส่งกำลังก็ยังเป็นแบบอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT เช่นเคย แต่เป็นรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมระบบ with Adaptive Shift Control (ASC) เพื่อควบคุมการทำงานของเกียร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แน่นอนว่าเลย์เอาท์การวางเครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม คือ เป็นแบบวางขวางเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่ามูราโนใหม่ยังนำเสนอมทางเลือกของระบบขับเคลื่อนให้กับลูกค้าได้สัมผัสเหมือนเดิม คือ มีทั้งแบบขับล้อหน้าอย่างเดียว หรือว่าจะเป็นแบบ 4 ล้อตลอดเวลา AWD
ระบบกันสะเทือนเป็นแบบเดิม คือ สตรัทที่ด้านหน้า และมัลติลิงค์ที่ด้านหลัง แต่เพื่อให้น้ำหนักตัวรถลดลงและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น นิสสันเลือกนำอะลูมิมีเนียมมาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนของระบบกันสะเทือนมากขึ้น เช่นเดียวกับการปรับปรุงมุมองศาทางเรขาคณิตของระบบช่วงล่างเพื่อให้มีการตอบสนองต่อการใช้งานที่ดีขึ้นทั้งในเชิงความนุ่มนวลและความหนึบในขณะขับขี่ และเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อแม็ก 2 ขนาด 18 หรือ 20 นิ้วขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยจากโรงงาน
ระบบความปลอดภัยครบครันด้วยถุงลมนิรภัย 6 ใบจากโรงงาน ด้านหน้าเป็นแบบพองตัวได้ 2 ระดับรุ่นใหม่ Nissan Advanced Air Bag System (AABS) พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับว่ามีคนนั่งอยู่ด้านหน้าหรือไม่ รวมถึงระบบควบคุมการทรงตัวหรือ VSC และมีระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง หรือ Tire Pressure Monitor System (TPMS) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน
ไลน์การผลิตยังอยู่ที่เดิม คือ โรงงานเคียวชูของนิสสันในญี่ปุ่น โดยการทำตลาดจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางปีหน้า ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนเรื่องจะขายในญี่ปุ่นเหมือนกับรุ่นที่แล้วหรือไม่นั้นยังไม่เปิดเผย เช่นเดียวกับราคา ที่คาดว่าจะแพงขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อยเท่านั้น
