xs
xsm
sm
md
lg

อำลาพุทธศาสนา-เยือนแดนมุสลิม บนเส้นทาง “ซือโฉวจือลู่”(2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เราไม่ได้นอนบ้านมา 5 คืนแล้ว” เสียงอ.วิโรจน์ ออกอากาศเตือนความจำให้ขบวนคาราวาน “ไฮลักซ์ วีโก้” ได้รับทราบว่าพวกเราออกเดินทางเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม บินจากกรุงเทพฯมา กว่างโจว (มณฑลกว่างตง) และต่อเครื่องบินมาลงซีอัน (มณฑล ซันซี) เท่ากับว่าเรามาเมืองจีนแค่วันเดียวเราเหยียบ 2 มณฑลแล้ว คืนที่2เรายังพักเมืองซีอันอยู่ คืนที่ 3 พวกเราเดินทางมายังเมืองหลันโจว (มณฑลกันซู) ซึ่งเป็นเมืองอกแตก เพราะมีแม่น้ำเหลืองไหลผ่านกลางเมือง และคืนที่ 4 เราไปค้างที่จางเย่ และคืนที่ 5 เรากำลังเดินทางไปยังตุนหวง

จากเมืองตุนหวงนี้เองเส้นทางแพรไหมเริ่มเข้าสู่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ นั่นหมายความว่าพอเราออกจากตุนหวงเมื่อไรเราก็ตัดขาดจากอารยธรรมฮั่น ตัดขาดจากพระพุทธศาสนา เข้าสู่อารยธรรมของมุสลิม และแน่นอนเราจะไม่เห็นวัดพุทธจะมีแต่มัสยิดเท่านั้น แต่ก่อนจะเล่าถึงดินแดนมุสลิมขอย้อนกลับไปตอบคำถามที่ค้างไว้ในตอนที่ 1 เกี่ยวกับ “ด่านเจียยวี่กวน” หรือ “ด่านเมืองผี” เสียก่อน แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า ชนชาวมุสลิม มาตั้งรกรากในแผ่นดินจีนได้อย่างไร ?

ด่านนี้สร้างสมัยต้นราชวงศ์หมิง มีความยาวโดยรวม 733 เมตร สูง 10 เมตร ถือเป็นอีกมุมหนึ่งของกำแพงเมืองจีน จากที่เดินชมก็ต้องขอบอกว่าด่านนี้ยังมีความสมบูรณ์อยู่มากขนาดยืนตากแดด-ฝน-ลม มาหลายพันปีก็ยังโดดเด่นเมื่อมองแต่ไกล อ.วิโรจน์บอกให้สังเกตดี ๆ ว่าจะมีกำแพงหนึ่งเป็นสี่เหลี่ยม เขาเรียกว่ากำแพงโอ่ง เป็นกุศโลบายที่ล่อข้าศึกให้วิ่งเข้ามาในกำแพงแล้วปิดประตูเอาน้ำร้อนราด หรือก้อนหินใหญ่ทุ่มใส่ เ รียกว่า “กับดัก”ครับ คือล่อศัตรูมาฆ่า หรือปิดประตูตีแมวนั่นเอง


หลายคนสงสัยกำแพงเมืองจีนกว้างเท่าไร อ.วิโรจน์บอกว่าต้องเอาม้า 4 ตัววิ่งเรียงหน้ากระดานควบไปบนกำแพงนั้นคือความกว้าง แต่ส่วนที่กว้างสุดต้องใช้ม้าถึง 6 ตัวเรียงหน้ากระดานนะครับ แต่ถ้าพูดถึงความยาวประมาณ 6,700 กม. กำแพงเมืองจีนสร้างตั้งแต่ราชวงศ์จิ๋นมาสุดราชวงศ์หมิง ฮ่องเต้แต่ละราชวงศ์สร้างต่อกันมาเรื่อย ๆ ทั้งหมด 2,000 กว่าปีถึงจะเสร็จ และสิ่งที่พิสูจน์ว่ากำแพงเมืองจีนนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งของโลก คือ คำบอกเล่าของ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกที่บินไปเหยียบโลกพระจันทร์ พูดว่า สิ่งปลูกสร้างของมนุษย์สิ่งสุดท้ายที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก่อนจะลับตาคือ กำแพงเมืองจีน..ไม่เห็นแม่น้ำแยงซี ไม่เห็นแม่น้ำเหลือง แต่เห็นกำแพงเมืองจีนครับ

หลังจากเดินทางมา 5วัน ขบวนคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก้ เริ่มขับกันอย่างสบายใจเพราะหลุดจากเมืองในหมอกแล้ว ฝนก็ไม่มี แดดเริ่มออก แต่อากาศยังคงหนาวเหมือนเดิมอุณหภูมินอกรถยังอยู่ที่เลขตัวเดียว บวกกับเส้นทางที่เรามุ่งขึ้นเหนือนั้นค่อนข้างดีเพราะขับอยู่บนถนนไฮเวย์ และกิจกรรมการแข่งประหยัดน้ำมันยังคงดำเนินต่อแม้ว่าจะทำให้ขบวนคาราวานของเราช้าไปบ้างแต่ต้องทำใจ

เช้าวันที่ 8 ต.ค. ขบวนคาราวานได้ไปเยือนสถานที่อีกแห่งที่น่าสนใจอยู่ในเมืองตุนหวง คือ ภูเขาทรายหมิงซาซาน อ.วิโรจน์ บอกว่า หมิง แปลว่า ร้อง ซา แปลว่า ทราย ซาน แปลว่า เขา ฉะนั้นหมิงซาซานแปลว่า เขาทรายร้อง เพราะตอนที่พวกเราปืนขึ้นไปจะมีไม้มาคั่นเป็นบันได แต่สมัย อ.วิโรจน์มาตอนหนุ่มไม่มีไม้มาคั่นให้ ดังนั้นเมื่อเราปืนขึ้นไป 3 ก้าวจะถอยลงมา 2 ก้าว ระหว่างที่มันถอยลงมา ทรายมันจะร้อง กิ๊ก ๆ จึงเรียกว่าเขาทรายร้อง เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก เหนืออื่นใดบริเวณนี้มีพายุลมเมื่อเกิดพายุก็หอบทรายจำนวนมากมาพอพายุทรายผ่านไปแล้ว ภูเขาลูกนี้มันก็จะอยู่เหมือนเดิม ทรายไม่เคยยุบ ไม่เคยเพิ่ม อยู่อย่างนี้เป็นพัน ๆ ปี เป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนศิลปกรรม ..ประติมากรรมของธรรมชาติ

ภูเขาหมิงซาซาน ซึ่งอยู่ห่างเมืองตุนหวงออกไป 5 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาฉีเหลียนซาน โดยตั้งอยู่ในเขตแนวรับลมจากทะเลทรายโกบีเมื่อลมหนาวพัดจากไซบีเรียผ่านทะเลทรายก็จะหอบเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ลอยตามลมปะทะแนวเขา นานวันเข้าทับถมเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ ภูเขาทรายหมิงซาซานนั้นมีความกว้างจากทิศเหนือจรดใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร จากทิศตะวันออกไปตะวันตก ยาวประมาณ 40 กม. มีความสูงประมาณ 250 ม. เม็ดทรายมีสีสันถึง 5 สี คือ แดง เหลือง เขียว ขาว และดำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์จะส่องประกายแวววับ

สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นใกล้กัน คือ ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว “เย่วหยาฉวน” หรือ โอเอซิส ทะเลสาบที่ไม่เคยเหือดแห้งกลางทะเลทราย มีพื้นที่ 5.62 ไร่ มีความลึกโดยเฉลี่ย 3.2 เมตร น้ำในสระสะท้อนเป็นกระจก ลมพายุทรายไม่เคยพัดทรายถมลงสระน้ำ นับเป็นความมหัศจรรย์ที่โลกสร้างขึ้น แต่มนุษย์ชอบรังแกธรรมชาติ ดึงน้ำจากโอเอซิส ไปใช้ จนตอนนี้น้ำขอดลงไปแยะ แต่รัฐบาลจีนรู้แล้ว และพยายามปั๊มน้ำกลับมา

ในวันนี้กิจกรรมการแข่งประหยัดน้ำมันยุติลงที่ปั๊มน้ำมันซึ่งห่างจากเมืองตุนหวงประมาณ 100 กม. และเมื่อทุกคันเติมน้ำมันเต็มถัง ขบวนคาราวานเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ทุกคนเริ่มเหยียบคันเร่งกันเร็วขึ้น สำหรับผู้เขียนได้เปลี่ยนรถจากพรีรันเนอร์มาเป็นฟอร์จูนเนอร์ และมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่ง ทำให้รถคันนี้มีทั้งหมด 4 คน

อ.วิโรจน์เล่าต่อว่า เมื่อเราเสร็จจากธรรมชาติเรากำลังจะเข้าไปพุทธคูหา ถ้ำทางพระพุทธศาสนา นั่นหมายความว่าเรากำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางแพรไหม หรือ “ซือโฉวจือลู่” เส้นทางที่มิได้มีการเปลี่ยนเฉพาะสินค้าเท่านั้น หากแต่ยังได้นำเอาวัฒนธรรม ศาสนา ค่านิยม ตลอดจนถึงวิถีชีวิตของคนทั้งสองโลกให้มาบรรจบพบกันและ ศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม มาตามเส้นทางนี้เช่นกัน

ถ้ำโม่เกาที่เราไปถูกละเลยและหายสาบสูญไปหนึ่งพันปี จนเมื่อ ค.ศ. 1900 นักพรตหวังหยวนลู่ได้เป็นผู้มาเปิดถ้ำอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาปี 1907 นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้รับทราบข่าวจึงดั่นด้นมาที่นี้ และขอซื้อคัมภีร์ทางพุทธศาสนาไป และคัมภีร์เหล่านี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ หลังจากนั้นก็มีนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รัสเซีย มาซื้อคัมภีร์ ภาพวาดไปอีก เลยส่งผลให้ถ้ำโม่เกาโด่งดังไปทั่วโลก

อ.สมฤทธิ์ ยังแนะนำว่าหากผู้ใดมีโอกาสมาเยือนขอให้ไปดูถ้ำหมายเลข17 เพราะเป็นถ้ำแรกที่ขุดพบคัมภีร์ พระไตรปิฎก ตลอดจนถึงภาพวาดเก่า 50,000 ชิ้น ถ้ำหมายเลข 112 เป็นถ้ำที่เป็นศิลปะของราชวงศ์ถังที่งดงามลงตัวที่สุด และมีภาพวาดนางอัปสรที่กำลังเล่นผีผาอยู่ด้านหลัง ความงดงามอันอ่อนช้อยด้วยท่วงท่าลีลาและอาภรณ์อันพลิ้วไหว ทำให้ภาพนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองตุนหวงที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลกในปัจจุบัน ถ้ำหมายเลข 130 มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกขุดบนหน้าผาอันสูงกว่า 50 เมตร แต่สำหรับถ้ำโม่เกาทั้งหมดมี 492 ถ้ำ

และทุกคนในขบวนคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก้ เมื่อได้เข้าไปชมแล้วถึงกับอึ้งกับความยิ่งใหญ่ของถ้ำโม่เกา ที่สำคัญภาพที่พนักงานของถ้ำพาไปพร้อมฉายไฟให้ชมส่วนใหญ่มีสภาพที่ดีอยู่มาก โดยเฉพาะสีไม่มีจืดจางลงเลยยังคงความสดจนน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับกาลเวลาที่ผ่านไปถึง 1,000 ปี ดังนั้นผู้อ่านท่านใดมีโอกาสเดินทางบนเส้นทางแพรไหมห้ามพลาดถ้ำโม่เกาเด็ดขาด

ถ้ำโม่เกา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองตุนหวงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 25 กิโลเมตร มีคามเจริญอยู่ยาวนานถึงกว่า 1,000 ปี ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4-14 สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือจนถึงราชวงศ์หยวนหมู่ ถ้ำโม่เกาเป็นถ้ำที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่เจาะผนังทราย บนหน้าผาด้านทิศตะวันออกของ ภูเขาหมิงซาซานที่สูง 50 เมตรตลอดแนวยาว 12 กิโลเมตร มีจำนวนถ้ำรวมกว่า 492ถ้ำ มีรูปปั้นในถ้ำถึง 2,415 องค์ มีภาพจิตรกรรมอันวิจิตรพิสดารในยุคสมัยต่างๆ วาดบนฝาผนังและเพดานถ้ำยาวรวมกว่า 45,000 ตารางเมตร ถ้านำภาพเหล่านี้มาวางเรียงตามแนวยาวจะได้ไกลถึง 45 กิโลเมตร

ตำนานการสร้างถ้ำโม่เกาที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 366 ในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก มีพระภิกษุผู้จาริกแสวงบุญรูปหนึ่งนามว่า พระเล่อจุน ได้มาถึงเชิงเขาซานเว่ยซาน ท่านมองไปบนยอดเขาบังเอิญมองไปเห็นรัศมีเรืองรองคล้ายมีพระพุทธรูปนับพันองค์มาประดิษฐานเรียงรายอยู่จึงได้หาช่างมาขุดถ้ำแรกขึ้น ถ้ำที่ท่านขุดเป็นครั้งแรกนั้นอยู่บริเวณจุดสูงสุดของทะเลทราย จึงเรียกว่า ถ้ำโม่เกา ต่อมาได้ทำการขุดถ้ำขึ้นในบริเวณใกล้เคียงเพื่อประกอบศาสนกิจและสร้างพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ในถ้ำเมื่อเวลาผ่านไปพ่อค้าที่เดินทางกับกองคาราวานผ่านเส้นทางแพรไหมก็พากันมากราบบูชาเพื่อขอพร ถ้ำอีกหลายถ้ำจึงถูกขุดขึ้นมา ภายในก็ประดับไว้ด้วยพระพุทธรูป พระสาวกและภาพจิตรกรรม จากนั้นถ้ำโม่เกาจึงกลายเป็นศาสนาสถานที่สำคัญของผู้คนที่เดินทางผ่านเส้นทางแพรไหม

หลังจากชื่นชมศิลปกรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขบวนคาราวานก็ออกเดินทางต่อไปยังเมือง ฮามี่ ซึ่งเป็นเขตมณฑลซินเจียงอุยกูร์ เป็นมณฑลที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้วัฒนธรรม การแต่งกาย ภาษาพูดและหน้าตาจะเปลี่ยน ที่สำคัญเมืองฮามี่นี้ไกด์บอกว่ามีผลไม้ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ แตงฮามี่

ถึงบรรทัดนี้หลายคนสงสัยว่าแล้วชาวมุสลิมเข้ามาอยู่ในแผ่นดินจีนได้อย่างไร อ.วิโรจน์เล่าให้ฟังแม้จะไม่ได้ศึกษาเรื่องมุสลิมอย่างลึกซึ้งก็ตามว่าเมื่อประมาณ 1,300 ปี ในยุคของถังไท่จง มุสลิมมาแล้วครับ มากับขบวนคาราวานพ่อค้า มาในฐานะพ่อค้า หรือมากับขบวนทูต ในราชวงศ์ถังจารึกไว้เลยว่า ชาวมุสลิมจะต้องมาถวายบรรณาการแก่กษัตริย์จีน เมื่อมาแล้วก็ไม่อยากกลับเพราะการเดินทางค่อนข้างลำบากและไกลมากจึงตั้งรกรากอยู่ที่นี่

แต่ถ้าถอยไปอีก 700-800 ปี ในยุคของเจงกิสข่านได้บุกตะลุยไปตีเมืองต่าง ๆ เริ่มจากมองโกล ลุยถึงรัสเซีย ข้ามแม่น้ำดานูบที่ฮังการี และบุกต่อไปเมืองแบกแดด ไปอิรัก จึงทำให้เกิดการโยกย้าย จับกุม กวาดต้อน คนชาวมุสลิมเข้ามาเป็นทหาร เป็นเชลย และในที่สุดชาวมุสลิมก็เข้ามาอยู่บนแผ่นดินจีนผ่านเส้นทางแพรไหมที่เรากำลังเดินทางอยู่นี้

ดังนั้นเมื่อขบวนคาราวานไฮลักซ์ วีโก้ ออกจากเมืองตุนหวง ถือว่าเราตัดขาดจากอารยธรรมของฮั่น ตัดขาดจากพระพุทธศาสนา และเมื่อเข้าสู่เมืองฮามี่-ทูหลู่ฟาน –อูหลู่มู่ฉี ถือว่าเราอยู่ในเขตมุสลิมแล้วนะครับ
สำหรับสถานที่เที่ยวในดินแดนมุสลิมมีไม่น้อย โดยเฉพาะเมืองทูหลู่ฟานเราได้ไปชมเมืองเกาชาง , เมืองเจียวเหอ, ไร่องุ่น และอุโมงค์ส่งน้ำหรือภาษาอุยกูร์เรียกว่า คาเรซ (Karez )


เมืองเกาชางจัดเป็นซากเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีบันทึกเล่าว่าเคยมีประชากรอาศัยอยู่ถึง 30,000 คน ในจำนวนดังกล่าวเป็นพระภิกษุถึง 3,000 รูป ที่สำคัญพระถังซำจั๋งออกจาริกแสวงบุญที่ประเทศอินเดียได้มาพักในเมืองเกาชางระหว่างการเดินทางด้วย เมืองนี้พวกเราชมโดยใช้รถลาเป็นพาหนะ

สำหรับเมืองโบราณเจียวเหอ เป็นเมืองในอ้อมกอดของสายน้ำ เพราะมีสายน้ำ2สายไหลมาบรรจบกัน ตัวเมืองตั้งอยู่บนที่ราบสูงจากพื้นราบประมาณ 30 เมตร มีความยาว 1,650 เมตร กว้าง 300 เมตร ในเมืองมีซากปรักหักพังมากมายมีอายุกว่า 1,000 ปี คาดว่าเมืองเจียวเหอนั้นมีวัดเรียงรายมากกว่า 101 วัด และในบริเวณใกล้เคียงกันมีการขุดค้นพบไหเหล้าองุ่นที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี นักโบราณคดีของจีนสันนิษฐานว่า เมืองเจียวเหอน่าจะเป็นแห่งแรกที่ปลูกองุ่นและทำเหล้าองุ่น

สำหรับชาวอุยกูร์ หลายคนอาจสงสัยว่าคือใคร “อุยกูร์” เป็นกลุ่มชนเผ่า หรือชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่อยู่ในมณฑลซินเกียง นับถือศาสนาอิสลาม ทุกวันนี้กลุ่มคนนี้ยังอาศัยอยู่อย่างสงบแม้รัฐบาลจีนจะพยายามยัดเยียดอารยธรรมฮั่นเข้ามาในมณฑลซินเกียง เพื่อจะกลืนชุมชนนี้ให้เป็นฮั่นแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

และสิ่งที่ทำให้เราทึ่งมากกับความฉลาดของพวกอุยกูร์คือการสร้างระบบชลประทาน “คันเอ๋อจิ่ง” หรือในภาษาอุยกูร์เรียกว่า “คาเรซ” หรืออุโมงค์ส่งน้ำ ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวพื้นเมืองอุยกูร์ที่ค้นหาวิธีนำน้ำจากเขาเทียนซานมาหล่อเลี้ยงเมือง ด้วยการขุดอุโมงค์ส่งน้ำผ่านใต้ทะเลทรายให้ไหลมาตามอุโมงค์เป็นระยะทาง 5,000 กม. ดังนั้นคาเรซ คืออุโมงค์สายเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเมืองทูหลู่ฟานมาเกือบ 2,000 ปี

อ.วิโรจน์เล่าเสริมว่า คนที่นี่บอกว่าถ้าปล่อยให้น้ำจากภูฟ้าไหลลงมาตามีตามเกิดก็จะเกิดการสูญเสีย1.น้ำจะซึมหายไปในดิน 2.หน้าร้อนน้ำจะระเหยไปหมด หน้าหนาวน้ำก็จะเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นเพื่อใช้น้ำให้เป็นประโยชน์สูงสุดก็ต้องสร้างแม่น้ำใต้ดินแล้วต่อท่อเล็กท่อน้อย ไหลเข้าไปถึงบ้านเลย ข้างนอกจะร้อนจะหนาวขนาดไหนชาวอุยกูร์ก็มีน้ำใช้ กลายเป็นประปาสวรรค์ บวกกับเมืองทูหลู่ฟานขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองร้อนสุด คือมีอุณหภูมิเกินกว่า 40 องศเซลเซีลหรือบางที่ร้อนจัดถึง 49 องศาเซลเซียส ข้อสอง เป็นเมืองต่ำสุดของจีนต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 154 เมตร และต่ำสุดเป็นอันดับสองของโลก , และสุดท้ายแห้งแล้งที่สุดเพราะมีปริมาณน้ำฝนตกเฉลี่ย 16.75มิลลิเมตรเท่านั้น


นอกจากนี้เมืองทูหลู่ฟานยังมีองุ่นหวานอร่อย และเป็นพื้นที่ที่ปลูกองุ่นมากที่สุดของจีน โดยองุ่นที่ทำการปลูกมีหลายพันธุ์ ๆ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ อู๋เคอไป๋ หรือพันธุ์ไร้เมล็ดสีขาว เพราะมีผลใหญ่ เปลือกบาง เนื้อแน่น รสชาดหอมหวาน ในปีหนึ่ง ๆ ผลผลิตองุ่นของเมืองทูหลู่ฟานจะมีมากถึง 30,000 ตัน และส่วนใหญ่ของผลผลิตจะนำมาทำองุ่นอบแห้ง ซึ่งอร่อยและไม่ผสมน้ำตาล ราคาตั้งแต่กิโลกรัมละ 20-30 หยวน

ดังนั้นสองข้างทางจากเมืองฮามี่ไปเมืองทูหลู่ฟาน และเข้าสู่เมืองหลวงของมณฑลซินเกียง คือ อูหลู่มู่ฉี่ จึงเต็มไปด้วยทะเลทรายโกบีที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง สำหรับพวกเราทั้ง 4 คนที่อยู่ในรถฟอร์จูนเนอร์ก็มีความสุขกับการชมทิวทัศน์สองข้างทางที่แปลกตา ตื่นใจ แม้ว่าอากาศยังคงหนาวเย็นอยู่

เสียงอ.วิโรจน์ออกอากาศเตือนความจำอีกครั้งว่า 5 คืนแรกเรานอนในเมืองที่เป็นชื่อฮั่น แต่คืนที่ 6-7-8 เรานอนในเมืองที่เป็นชื่อแขก คือ ฮามี่-ทูหลู่ฟาน- อูหลู่มู่ฉี่ และคืนที่ 9 เราจะนอนในเมืองยี่หนิงซึ่งเป็นชื่อของฮั่นแต่เป็นดินแดนของอุยกูร์ ถือเป็นคืนคาบลูกคาบดอกก่อนจะออกจากชายแดนจีนสู่ประเทศกลุ่มเอเชียกลาง

แน่นอนทุกเมืองอยู่ในแผนที่ประเทศจีน .แผ่นดินจีน... แต่ใจคนจะเป็นอะไร (จีน-แขก) อีกเรื่องหนึ่ง


โปรดติดตามตอนต่อไป


บอกเล่าความประทับใจ
อ.สมฤทธิ์ ลือชัย


ในอนาคตเส้นทางแพรไหมจะดูดเงินนักท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล ที่สำคัญมันมีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม แต่พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่ประทับใจ บวกกับคำตอบของชาวมุสลิมคนหนึ่งที่ผมถามว่าเขานิกายอะไร เขาบอกว่า จะสุหนี่ หรือ ชีอะห์ มันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญสุดคือเขามีพระเจ้าองค์เดียวและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้าแล้วทำไมต้องมาสนใจว่าใครนิกายอะไร เพราะการแบ่งนิกายอย่างพุทธหรือคริสต์ บางครั้งก็ทำให้เราแตกแยก นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินจากเส้นทางแพรไหมสายนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น