xs
xsm
sm
md
lg

‘แคปติวา ดีเซล’ เป็นคำตอบสุดท้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ก้าวสู่ปีที่ 8 ปี ของเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือ ‘จีเอ็ม’ สำหรับการเข้ามาลุยตลาดรถยนต์เมืองไทย ผ่านแบรนด์ในเครืออย่าง‘เชฟโรเลต’

หลังพี่เบิ้มในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ลงทุนตั้งโรงงานที่จังหวัดระยองเมื่อ พ.ศ.2543 จากนั้นรถยนต์หลายรุ่นหลากเซกเมนต์ ก็เริ่มทยอยออกมารองรับตลาดทั้งในและนอกประเทศ

จุดเด่นที่จีเอ็มพยายามสร้างให้เป็นจุดขายมาตลอด คือ การหาช่องว่างในตลาดแล้วนำผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยียานยนต์ ที่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ มาเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์อเนกประสงค์อย่าง เชฟโรเลต ซาฟิร่า, ออพตร้า เอสเตท ไปจนถึงการติดตั้งระบบล็อกเฟืองท้ายอัตโนมัติ “จี 80 ดิฟล็อก” ให้โคโลราโด รวมถึงเก๋งน้องเล็ก อาวีโอที่กล้าวางเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร

ล่าสุดกับแคปติวา เอสยูวี ที่มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร และดีเซล 2.0 ลิตร ซึ่งหลังการอวดโฉมในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ยอดจองทะลุ 2,000 คันไปเรียบร้อย และพร้อมส่งมอบรถล็อตแรก(รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน) ให้ลูกค้าได้ในเดือนมิถุนายน ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เพิ่งจะถึงโชว์รูมต้นเดือนสิงหาคมนี้เอง

แคปติวา เครื่องยนต์ดีเซล ไม่ได้จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เชิญสื่อมวลชนไทยและอาเซียนกว่า 100 ชีวิต ไปทดสอบตัวเป็นๆ โดยครั้งนี้ต้องยกพลกันไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี

หลัง “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เคยเสนอบททดสอบแคปติวา รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตรไปแล้ว ดังนั้น วันนี้เราจะว่ากันที่สมรรถนะล้วนๆ รวมถึงออปชันที่ต่างออกไป โดยจะขอข้ามเรื่องรูปลักษณ์ไปเลย

การทดสอบทริปนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามช่วง โดยช่วงแรกคาราวานแคปติวา ดีเซล เริ่มเคลื่อนขบวนจากสถานีรถไฟท่ากิเลน อำเภอไทรโยค มุ่งสู่อำเภอทองผาภูมิ รวมระยะทางประมาณ 116 กิโลเมตร ซึ่งเราขันอาสาโดดขึ้นไปเป็นผู้โดยสารแถวสอง และปล่อยให้รุ่นพี่จากโพสทูเดย์ ถือพวงมาลัยเป็นไม้แรก

สำหรับการขึ้น-ลง แคปติวาค่อนข้างสะดวก ใกล้เคียงกับเก๋งทั่วไป โดยมีระยะต่ำสุดจากพื้น(Ground Clearance) เพียง 200 มิลลิเมตร ส่วนห้องโดยสารนั้นกว้างขวางนั่งสบาย ทั้งเลครูม และเฮดรูม ของเบาะแถวสอง ยังเหลือๆ ครับ ขณะที่การวิ่งความเร็ว 100 กม./ชม. ถือว่าเก็บเสียงค่อนข้างดี โดยเฉพาะเสียงลมหรือเสียงเครื่องยนต์ (ที่ดังพอสมควรเมื่อยืนอยู่นอกรถ) ก็เล็ดเข้ามาน้อยมาก พร้อมๆ ไปกับความสมดุลของรถ จึงทำให้รู้สึกว่ารถนิ่งมากๆ แม้เข็มไมล์บ้างช่วงจะแตะไปถึง 140 กม./ชม.ก็ตาม

บางจังหวะพี่จากโพสต์ทูเดย์ ลองเข้าโค้งหนักๆ กับเปลี่ยนเลนกะทันหัน ที่ความเร็วประมาณ 80-100 กม./ชม. ซึ่งรถแทบไม่ออกอาการดิ้นหรือโคลงจนน่าเกลียด เรียกว่าคุณแม่-คุณลูกที่อยู่ข้างหลัง สามารถนั่งได้เพลินๆตลอดทาง

ถัดมาช่วงที่สองจึงเป็นคิว “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ขึ้นควบเจ้าแคปติวาบ้าง ซึ่งการนั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็ให้ทัศนวิสัยดี แต่ยังขัดเขินกับเบาะหนังที่ไม่ค่อยโอบกระชับ คือนั่งแล้วรู้สึกว่าตัวมันจะไหลนิดๆ

สำหรับเส้นทางช่วงนี้จะเริ่มมีสีสันมากขึ้น จากโค้ง สั้น-ยาว สลับทางลาดชันขึ้นเขา รวมถึงทางฝุ่นที่สมบุกสมบันพอสมควร พร้อมๆ กับสายฝนที่โปรยปรายกับเส้นทางในอุทยานแห่งชาติเกริงกะเวีย ซึ่งผู้จัดตั้งใจให้เราลองบรรดาระบบต่างๆของแคปติวา ที่ขนมาให้เพียบ ทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD อัตโนมัติ ที่ยามปกติจะถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หน้าแบบ 100% แต่เมื่อสภาพของถนนเปลี่ยนไป เช่น ถนนเปียกลื่น เมื่อระบบจับได้ว่าล้อขับเคลื่อนคู่หน้ามีอาการลื่นไถล หรือหมุนฟรี ระบบจะสั่งจับเฟืองท้ายล็อกเพลาหลังเพื่อถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หลังในอัตราส่วน 50:50 60:40 70:30 ขึ้นอยู่กับสภาพถนน

ขณะที่ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) ที่เชฟโรเลต ดึงมาเป็นจุดขายในโฆษณา ก็จะใส่มาให้ในรุ่นท็อป เครื่องยนต์ดีเซล ขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น โดยเลือกใช้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มที่แผงคอนโซลหน้า จากนั้นเซ็นเซอร์จะคอยตรวจจับอาการว่าถ้ารถต้องลงทางลาดชัน (บางครั้งก็ไม่ชันมาก) ก็จะสั่งหน่วงกำลังเครื่องยนต์ พร้อมเสริมแรกเบรกมากขึ้น

ซึ่งระบบความปลอดภัยดังกล่าวต้องแลกมากับเสียงที่ดังพอสมควร เนื่องจากการเสริมแรงเบรกนั้นจะนำระบบ ABS เข้ามาช่วย นั่นหมายถึงเบรคที่ติดตั้งอยู่ประจำล้อจะ จับ-ปล่อย-จับ-ปล่อย ด้วยความถี่ (จากการทำงานของวาล์วควบคุมแรงดันน้ำมันเบรก) ดังนั้น เวลาเหยียบแป้นเบรกจะรู้สึกถึงแรงสะท้านออกมาถี่ๆที่ปลายเท้า พร้อมเสียงขลุกขลักนิดหน่อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของระบบนี้

นอกจากนี้ยังมีนระบบอื่น อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวESP (Electronic Stability Program) ที่เลือกเราจะเลือกเปิดหรือปิดการใช้งานก็ได้ รวมถึงระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ARP (Active Rollover Protection) และ Self-Levelizer ระบบปรับระดับของช่วงล่างด้านหลังให้ยกขึ้นเป็นระนาบเดียวกันกับด้านหน้าด้วยกลไกอัตโนมัติ หรือป้องกันหน้าเชิด เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระหนักที่ด้านท้ายรถ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยเรื่อง การปรับสมดุลของรถเพื่อให้การขับมีประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนขุมพลังดีเซล VCDi ขนาด 2.0 ลิตร คอมมอนเรล พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 4000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบ/นาที ในช่วงตีนต้นก็ไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าดมากมาย แต่ถือว่าให้อัตราเร่งน่าประทับใจกว่าตัว เบนซิน 2.4 ลิตร อยู่พอสมควร ขณะที่ความเร็วกลางๆ ไปถึงปลายนั้น เครื่องยนต์ตอบสนองแรงกดของฝ่าเท้าได้ดีที่เดียว ทั้งยังรีดพลังผ่านระบบส่งกำลัง 5 สปีดได้อย่างไหลลื่น

ด้านพวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนียน ดีไซน์ 4 ก้านที่พร้อมด้วยปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชัน น้ำหนักเหมาะมือ ควบคุมได้ถนันแน่น ผสานช่วงล่างหน้า อิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็น อิสระ 4 จุด มัลติลิงก์บีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง เหนียวหนึบทุกสภาพถนน

คาราวานผ่านช่วงที่สองกับระยะทาง 80 กิโลเมตร จากนั้นเข้าสู่ช่วงสุดท้ายเพื่อกลับที่พัก โดยถึงตรงนี้เป็นทางสบาย ขับกันตรงๆยาวๆ ประมาณ 77 กิโลเมตร ซึ่งสายตาก็พลันเหลือบมองไปที่เรือนไมล์ว่า บนความเร็ว 120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์จะอยู่แค่ 2100 รอบต่อนาทีเท่านั้น และเมื่อถึงจุดหมายแล้ว กดดูอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยจากจอแสดงผล ปรากฏตัวเลขออกมาที่ 10.6 กม./ลิตร

รวบรัดตัดความ...ถือเป็นอีกไฮไลต์สำคัญของปีที่หลายคนเฝ้ารอ สำหรับแคปติวาเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งตอนนี้กลายเป็นรถธงของค่ายโบว์ไทไปเรียบร้อย ด้วยบุคลิกหนักแน่น การทรงตัวเป็นเลิศ เสริมพละกำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลที่ขับสนุกและน่าจะประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซินอยู่พอสมควร

กับราคา 1.56 ล้านบาท (รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ) เพื่อแลกกับความ อเนกประสงค์ ขับสนุก นั่งสบาย พร้อมออปชันที่อัดมาให้เพียบ และน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของเอสยูวีพันธุ์แท้ พ.ศ.นี้
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
Captiva Test Drive

( 56 k ) | ( 256 K )










กำลังโหลดความคิดเห็น