“ NISSAN FRONTIER NAVARA ประหยัดน้ำมันสูงสุด 27.3 กม./ลิตร*” เป็นตัวเลขการบริโภคน้ำมัน ที่นิสสันนำมาชูตามโฆษณาโทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ พร้อมกับดอกจันหมายเหตุด้านล่างว่า
*ทดสอบโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. ในสภาพปิดแอร์ และมีผ้าคลุมกระบะท้าย…!!!
กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหลายค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะปิกอัพที่ต้องหาอัตราการซดน้ำมัน เพื่อนำมาใช้อ้างอิงทางการตลาด ส่วนจะทำวิธีใดเพื่อให้ตัวเลขออกมาเป็นที่น่าพอใจที่สุด ก็แล้วแต่ใครจะใช้เทคนิคอะไร ซึ่งมันจะออกมาเป็นดอกจันหมายเหตุตัวเล็กๆอย่างที่เห็น
สำหรับ นาวารา กับ ตัวเลข 27.3 กม./ลิตร ถือว่าทำได้ไม่เลว แต่หลายคนยังตะขิดตะขวงใจกับเงื่อนไขของตัวเลขดังกล่าว ทั้งการวิ่งปิดแอร์ ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. และมีผ้าคลุมกระบะท้าย ซึ่งไม่ใช่ลักษณะการขับบนพื้นฐานของการใช้งานจริง
ดังนั้นเพื่อให้หายสงสัย บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จึงจัดทริปเชิญสื่อมวลชล ให้ไปลองขับฉบับ “อีโค่ พาวเวอร์ ไดร์ฟ” ว่าจริงๆแล้วเจ้าปิกอัพน้องยักษ์ จะประหยัดสูงสุดแค่ไหน หรือการใช้งานจริงตัวเลขจะเป็นอย่างไร
ทัพสื่อมวลชน กับ ฟรอนเทียร์ นาวารา เกือบ 20 คัน เริ่มเคลื่อนขบวนจาก แมคโคร แจ้งวัฒนะ แล้วขึ้นทางด่วนพิเศษอุดรรัชยา ผ่านเส้นทางสายบางปะอิน - บางปะหัน สู่ทางหลวงหมายเลข 1 โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ จังหวัดนครสวรรค์
“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้พาหนะเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 174 แรงม้า ตัวถังดับเบิ้ลแค็บ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ไม่มีการแต่งเติม เสริมผ้าใบ หรือทำอะไรเป็นพิเศษ ขณะที่ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ประกบยางขนาด 255/70R16 ก็เติมลมระดับมาตรฐาน 40 ปอนด์ เท่ากันทั้งหน้าหลัง โดยวิ่งเปิดแอร์ตลอดเส้นทาง
เราพยายามทำให้เหมือนขับบนการใช้งานจริง (เวลาออกต่างจังหวัด) ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. แต่มีบางช่วงที่ทางโล่งๆยาวๆ ก็มีการกระหน่ำคันเร่งหนักๆไปแตะ 140 -150 กม./ชม.บ้าง ซึ่งสมรรถนะของ นาวารา ยังเชื่อขนมกินได้เหมือนเดิม ทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ การทรงตัวเยี่ยม และช่วงล่างหนึบแน่นมั่นใจ
เมื่อถึงจุดหมายที่ปั๊มน้ำมันในจังหวัดนครสวรรค์ ปรากฏว่าเรามาถึงเป็นคันแรก และใช้น้ำมันไป 17 ลิตร กับระยะทาง 226 กิโลเมตร ดังนั้นตัวเลขซดน้ำมันโดยไม่มีดอกจัน จึงอยู่ที่ 13.29 กิโลเมตรต่อลิตร
ส่วนคันที่ทำให้ผู้บริหารนิสสันปลื้มสุด เป็นของเกจิสองท่านในวงการรถยนต์เมืองไทย กับรุ่น ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา ตัวถังคิงส์แค็บ โดยใช้น้ำมันไปเพียง 7.36 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 30.71 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่ง “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” มีโอกาสพูดคุยกับท่านเกจิ ว่ามีเทคนิคการขับอย่างไรถึงได้ตัวเลขระดับนี้
“ผมเปิดแอร์วิ่งตามปกติ โดยหมุนพัดลมไปที่เบอร์สอง ส่วนน้ำยาแอร์ตั้งให้อยู่ระดับ 1 ใน 4 เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ทำงานหนักเกินไป แล้วรักษาความเร็วให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเลน การหยุดรถ และเปลี่ยนเกียร์ ที่สำคัญคือต่อเลี้ยงคันเร่งให้เนียนๆ เท้าต้องนิ่ง” เกจิ กล่าว พร้อมเผยเทคนิคส่วนตัวว่า
การขับจะใช้ความเร็ว 60 กม./ชม. แล้วเร่งไปถึง 110 กม./ชม. จากนั้นก็ผ่อนให้ลดลงมาที่ 60 กม./ชม.อีกครั้ง จึงเร่งความเร็วกลับไปอยู่ 110 กม./ชม. ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ ขณะที่เส้นทางในวันนั้นค่อนข้างโล่ง แยกไฟแดงน้อย จึงทำตัวเลขประหยัดน้ำมันได้อย่างที่เห็น
รวบรัดตัดความ...“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” เคยนำเสนอบททดสอบ นิสสัน ฟรอนเทียร์ นาวารา มาแล้วสองครั้ง ทั้งรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ 144 แรงม้า และขับเคลื่อนสี่ล้อ 174 แรงม้า ซึ่งสมรรถนะโดยรวมออกมาเป็นที่น่าพอใจ และวันนี้ก็หายข้องใจกับอัตราซดน้ำมัน ที่เราทำได้ระดับ 13 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งนอกเมือง
อย่างไรก็ตามอัตราการบริโภคน้ำมัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อรถ ยิ่งภาวะน้ำมันแพงในปัจจุบัน แต่รถหนึ่งคันยังมีเหตุผลอื่นๆ ประกอบในการเลือกซื้อ ทั้งการใช้งานให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน อรรถประโยชน์อื่นๆที่ได้รับ รวมถึงควบชอบส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นความจงรักภักดีในแบรนด์ รูปลักษณ์ หรือสมรรถนะ ที่เราว่าน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ใครก็ไม่สามารถหักล้างได้
*ทดสอบโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. ในสภาพปิดแอร์ และมีผ้าคลุมกระบะท้าย…!!!
กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหลายค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะปิกอัพที่ต้องหาอัตราการซดน้ำมัน เพื่อนำมาใช้อ้างอิงทางการตลาด ส่วนจะทำวิธีใดเพื่อให้ตัวเลขออกมาเป็นที่น่าพอใจที่สุด ก็แล้วแต่ใครจะใช้เทคนิคอะไร ซึ่งมันจะออกมาเป็นดอกจันหมายเหตุตัวเล็กๆอย่างที่เห็น
สำหรับ นาวารา กับ ตัวเลข 27.3 กม./ลิตร ถือว่าทำได้ไม่เลว แต่หลายคนยังตะขิดตะขวงใจกับเงื่อนไขของตัวเลขดังกล่าว ทั้งการวิ่งปิดแอร์ ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. และมีผ้าคลุมกระบะท้าย ซึ่งไม่ใช่ลักษณะการขับบนพื้นฐานของการใช้งานจริง
ดังนั้นเพื่อให้หายสงสัย บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จึงจัดทริปเชิญสื่อมวลชล ให้ไปลองขับฉบับ “อีโค่ พาวเวอร์ ไดร์ฟ” ว่าจริงๆแล้วเจ้าปิกอัพน้องยักษ์ จะประหยัดสูงสุดแค่ไหน หรือการใช้งานจริงตัวเลขจะเป็นอย่างไร
ทัพสื่อมวลชน กับ ฟรอนเทียร์ นาวารา เกือบ 20 คัน เริ่มเคลื่อนขบวนจาก แมคโคร แจ้งวัฒนะ แล้วขึ้นทางด่วนพิเศษอุดรรัชยา ผ่านเส้นทางสายบางปะอิน - บางปะหัน สู่ทางหลวงหมายเลข 1 โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ จังหวัดนครสวรรค์
“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้พาหนะเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 174 แรงม้า ตัวถังดับเบิ้ลแค็บ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ไม่มีการแต่งเติม เสริมผ้าใบ หรือทำอะไรเป็นพิเศษ ขณะที่ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ประกบยางขนาด 255/70R16 ก็เติมลมระดับมาตรฐาน 40 ปอนด์ เท่ากันทั้งหน้าหลัง โดยวิ่งเปิดแอร์ตลอดเส้นทาง
เราพยายามทำให้เหมือนขับบนการใช้งานจริง (เวลาออกต่างจังหวัด) ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. แต่มีบางช่วงที่ทางโล่งๆยาวๆ ก็มีการกระหน่ำคันเร่งหนักๆไปแตะ 140 -150 กม./ชม.บ้าง ซึ่งสมรรถนะของ นาวารา ยังเชื่อขนมกินได้เหมือนเดิม ทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ การทรงตัวเยี่ยม และช่วงล่างหนึบแน่นมั่นใจ
เมื่อถึงจุดหมายที่ปั๊มน้ำมันในจังหวัดนครสวรรค์ ปรากฏว่าเรามาถึงเป็นคันแรก และใช้น้ำมันไป 17 ลิตร กับระยะทาง 226 กิโลเมตร ดังนั้นตัวเลขซดน้ำมันโดยไม่มีดอกจัน จึงอยู่ที่ 13.29 กิโลเมตรต่อลิตร
ส่วนคันที่ทำให้ผู้บริหารนิสสันปลื้มสุด เป็นของเกจิสองท่านในวงการรถยนต์เมืองไทย กับรุ่น ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา ตัวถังคิงส์แค็บ โดยใช้น้ำมันไปเพียง 7.36 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 30.71 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่ง “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” มีโอกาสพูดคุยกับท่านเกจิ ว่ามีเทคนิคการขับอย่างไรถึงได้ตัวเลขระดับนี้
“ผมเปิดแอร์วิ่งตามปกติ โดยหมุนพัดลมไปที่เบอร์สอง ส่วนน้ำยาแอร์ตั้งให้อยู่ระดับ 1 ใน 4 เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ทำงานหนักเกินไป แล้วรักษาความเร็วให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเลน การหยุดรถ และเปลี่ยนเกียร์ ที่สำคัญคือต่อเลี้ยงคันเร่งให้เนียนๆ เท้าต้องนิ่ง” เกจิ กล่าว พร้อมเผยเทคนิคส่วนตัวว่า
การขับจะใช้ความเร็ว 60 กม./ชม. แล้วเร่งไปถึง 110 กม./ชม. จากนั้นก็ผ่อนให้ลดลงมาที่ 60 กม./ชม.อีกครั้ง จึงเร่งความเร็วกลับไปอยู่ 110 กม./ชม. ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ ขณะที่เส้นทางในวันนั้นค่อนข้างโล่ง แยกไฟแดงน้อย จึงทำตัวเลขประหยัดน้ำมันได้อย่างที่เห็น
รวบรัดตัดความ...“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” เคยนำเสนอบททดสอบ นิสสัน ฟรอนเทียร์ นาวารา มาแล้วสองครั้ง ทั้งรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ 144 แรงม้า และขับเคลื่อนสี่ล้อ 174 แรงม้า ซึ่งสมรรถนะโดยรวมออกมาเป็นที่น่าพอใจ และวันนี้ก็หายข้องใจกับอัตราซดน้ำมัน ที่เราทำได้ระดับ 13 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งนอกเมือง
อย่างไรก็ตามอัตราการบริโภคน้ำมัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อรถ ยิ่งภาวะน้ำมันแพงในปัจจุบัน แต่รถหนึ่งคันยังมีเหตุผลอื่นๆ ประกอบในการเลือกซื้อ ทั้งการใช้งานให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน อรรถประโยชน์อื่นๆที่ได้รับ รวมถึงควบชอบส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นความจงรักภักดีในแบรนด์ รูปลักษณ์ หรือสมรรถนะ ที่เราว่าน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ใครก็ไม่สามารถหักล้างได้
