ถือเป็นการปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ที่มาไวกว่าที่คิด (เมื่อเปรียบเทียบกับลำดับในการทำตลาดของรุ่นที่แล้ว) เพราะ ไวเปอร์ ทั้งตัวถังเปิดประทุนเพิ่งเปิดตัวขายในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2003 (ส่วนคูเป้มาทีหลังเปิดตัวในปี 2005) แต่ดอดจ์ก็จัดการจับมาปรับโฉมแบบไม่เกรงใจลูกค้า ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ พร้อมกับหน้าตาที่สวยและดุดันเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม
ประเด็นในเรื่องของเครื่องยนต์ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ไวเปอร์ และอาจจะรวมถึงรถสปอร์ตในตระกูล Muscle Car ของอเมริกันหันมาตามกระแสตลาด ด้วยการคบหากับเครื่องยนต์ที่มีระบบวาล์วแปรผัน หรือ VVT ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานที่เครื่องยนต์เบนซิน ทุกระดับจะต้องมี ซึ่งอาจจะด้วยการเพิ่มสมรรถนะให้กับเครื่องยนต์ หรือใช้เป็นจุดเด่นในการสร้าง ความได้เปรียบในเชิงการตลาดก็สุดจะแล้วแต่
เครื่องยนต์ของไวเปอร์ใหม่เปิดตัวมาพร้อมกับแนวคิด 500/500/500 ซึ่งหมายถึง จำนวน แรงม้า/แรงบิด/ความจุ (ลูกบาศก์นิ้ว) แต่ในตอนนี้ สิ่งนี้คงจะหายไปแล้วกับการเปลี่ยนแปลงในด้าน สมรรถนะ ซึ่งฝาสูบได้รับการออกแบบใหม่ นอกจากการติดตั้งระบบ VVT แล้ว ยังขยายขนาดของวาล์ว ทั้งไอดีและไอเสียให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม ส่วนความจุกระบอกสูบก็มีการเพิ่มเส้นผ่าศูนย์กลางของกระบอกสูบ อีก 1 มิลลิเมตรเป็น 103 มิลลิเมตร โดยที่ระยะชักของลูกสูบยังอยู่ที 100.6 มิลลิเมตรเหมือนเดิม ทำให้มีความจุขยับจาก 8,300 ซีซีมาเป็น 8,400 ซีซี หรือ 510 ลูกบาศก์นิ้ว
ผลของการปรับปรุงครั้งนี้ทำให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 90 ตัวเป็น 600 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 77.3 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที ส่วนระบบส่งกำลังยังเป็นหน้าที่ของ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะในการถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังเหมือนเดิม และระบบเบรกก็มีการปรับปรุงด้วยเช่นกันกับชุดอัพเกรดเพิ่มประสิทธิภาพในการสยบม้าฝูงโตจาก Brembo
สำหรับหน้าตามีการปรับปรุงกันแบบสังเกตเห็นได้ชัด ทั้งฝากระโปรงหน้าใหม่ ซึ่งมีการเจาะช่องระบายอากาศ เพิ่มสีตัวถังใหม่ มีให้เลือก 5 สี คือ Venom Red, Snakeskin Green, Viper Violet, Viper Orange and Bright Blue และใครที่อยากคาดแถบคู่ตามยาวของตัวถังเหมือนกับรถแข่งอเมริกัน ดอดจ์ก็มีแถบสีให้เลือกจับคู่ถึง 6 สี คือ ขาว, ดำ, เงิน, กราไฟต์, น้ำเงิน และแดง
เหมือนกับคอร์เว็ตต์ ไมเนอร์เชนจ์ ใครที่รักจริงหวังขับ คงต้องร้องเพลงรอสักระยะ เพราะกำหนดวางขายไวเปอร์ รุ่นปรับโฉมจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ส่วนตลาดโลกต้องรอประมาณต้นปี 2008
