xs
xsm
sm
md
lg

Mercedes-Benz SLR McLaren Roadster ถลกหลังคารับลม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในที่สุดเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับสายพันธุ์เอสแอลอาร์เสียที และดูเหมือนจะเป็นการผิดความตั้งใจตั้งแต่แรกที่ทางค่ายดาว 3 แฉกวางแผนไว้ว่าจะทำตลาดให้กับซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ด้วยตัวถังคูเป้เท่านั้น

เพราะคราวนี้เอสแอลอาร์ได้พี่น้องร่วมสายพันธุ์แล้ว กับตัวถังเปิดประทุนแบบหลังคาอ่อนพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าโดยที่มีคำว่าโรดสเตอร์ต่อท้ายชื่อรุ่น

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000 ในสมัยที่เอสแอลอาร์ยังเป็นแค่โปรเจ็กต์บนกระดาษที่ยังคลุมเคลือในการผลิตและเมอร์เซเดส-เบนซ์นำต้นแบบของซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ออกจัดแสดง 2 เวอร์ชัน คือ คูเป้ 2 ประตู และ Open-Top แบบหลังคาแข็งพับได้

ในที่สุดคำตัดสินก็ลงเอยที่การเลือกตัวถังคูเป้เป็นตัวถังหลักในการทำตลาดในปี 2003 พร้อมกับมีข่าวระบุว่าจะไม่มีรุ่นเปิดประทุนตามออกมาให้ช้ำใจ แต่สุดท้ายเมื่อเอสแอลอาร์มียอดขายที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง ก็เลยต้องมีอะไรใหม่ๆ ออกมากระตุ้นตลาดเพื่อให้บรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักได้ขยับตัวบริหารเงินในบัญชีกันบ้าง

จะว่าไปแล้วการเปิดตัวรุ่นโรดสเตอร์ออกมาก็เหมือนกับการย้อนกลับไปสู่ตัวตนที่แท้จริงของสายพันธุ์เอสแอลอาร์ ด้วยการสืบทอดและมีที่มาจากตัวแข่งรุ่นดัง 300เอสแอลอาร์ ในช่วงทศวรรษที่ 1950 ซึ่งก็มากับตัวถังเปิดประทุน เพียงแต่ว่าเอสแอลอาร์ โรดสเตอร์ไม่ใช่สปอร์ตเปิดประทุนพันธุ์แท้ แต่ต้องปรับตัวเพื่อการใช้งานได้ทุกสภาพอากาศ

และมาพร้อมกับหลังคาอ่อนแบบ Retractable Top ที่มีการทำงานในแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งการจะให้หลังคาพับเก็บได้นั้น ผู้ขับจะต้องปลดตัวล็อกที่ติดตั้งอยู่ในห้องโดยสารก่อน ระบบไฟฟ้าถึงจะพับเก็บให้ ต่างจากระบบทั่วไปที่จะทำงานเลยหลังจากกดปุ่มให้หลังคาพับเก็บ โดยที่ตัวหลังคาผลิตจากวัสดุที่มีความพิเศษสามารถเปลี่ยนโทนสีได้ถึง 3 สีด้วยกัน

แน่นอนว่าผู้ที่รับหน้าที่ในการผลิตและเป็นพันธมิตรร่วมในโปรเจ็กต์นี้คือ แม็กลาเรนแห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นทีมแข่ง F1 ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์สนับสนุนเครื่องยนต์ให้ และก็มีการถือหุ้นบางส่วนของบริษัทแห่งนี้รวมอยู่ด้วย โดยโครงสร้างและชิ้นส่วนตัวถังผลิตจากอะลูมิเนียมและ Carbon-Fibre Reinforced Plastic (CFRP) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาจากสนามแข่งทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแกร่ง

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นคูเป้แล้ว รุ่นเปิดประทุนได้รับการเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะส่วนของเสากระจกบังลมหน้ารถที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วยเหล็กแบบ Reinforced เพราะจะต้องรับน้ำหนักในกรณีที่เกิดการพลิกคว่ำ อีกทั้งยังเด่นในเรื่องของการเก็บเสียง เพราะถึงกับคอนเฟิร์มว่า คนขับและผู้โดยสารยังคุยกันได้ตามปกติแบบไม่ต้องตะเบ็งเสียงใส่กัน แม้ว่าจะซิ่งด้วยความเร็ว 125 ไมล์/ชั่วโมง หรือกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ในเรื่องของรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน ถอดแบบมาจากรุ่นคูเป้เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ ซึ่งเต็มสมรรถนะการขับเคลื่อนแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ให้การกระจายน้ำหนักที่สมดุลหน้า-หลังในแบบ Front-Mid-Engine

โดยใช้ขุมพลังวี8 แบบ 3 วาล์ว/สูบ มีความจุกระบอกสูบ 5,500 ซีซี พร้อมซูเปอร์ชาร์จซึ่งได้รับการโมดิฟายและเพิ่มมัดกล้ามโดยเอเอ็มจี ทำให้มีกำลังสูงสุด 626 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 79.5 กก.-ม. ที่ 3,000-5,000 รอบ/นาที ซึ่งเป็นบล็อกเดิมของรุ่นคูเป้ ไม่ใช่ตัวแรงที่วางอยู่ในรุ่นพิเศษ 722 เอดิชันซึ่งมี 650 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 83.5 กก.-ม.

ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะพร้อมระบบ Speedshift R มีอัตาเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่ากับรุ่นคูเป้ที่ 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 334 กิโลเมตร/ชั่วโมง

การทำตลาดจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนกันยายนนี้ ส่วนราคายังไม่มีการเปิดเผย แต่คาดว่าจะแพงถึง 350,000 ปอนด์ (ในอังกฤษ) หรือ 24.5 ล้านบาท และแน่นอนว่าฐานการผลิตยังอยู่ที่โรงงานของแม็กลาเรนในเมืองเวิร์คกิง ประเทศอังกฤษ






กำลังโหลดความคิดเห็น