xs
xsm
sm
md
lg

Mini R56 ดูเหมือนเดิมแต่สนุกกว่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การเปลี่ยนโฉมอย่างรวดเร็วเกินคาดของ “มินิ” ทำให้สาวกมินิทั่วโลกไม่รู้ว่าจะออกอาการดีใจหรือเสียใจกันแน่ เนื่องจากรุ่นเดิมก็ยังคงมีมนต์สเน่ห์ในการขับขี่ที่น่าหลงใหล ส่วนรุ่นใหม่ก็น่าลิ้มลอง และที่สำคัญคือแทบมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ จากปรัชญาของการดีไซน์ว่า “From the original to the original” หรือทุกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของมินิจะยังคงอยู่เหมือนเดิม

สำหรับเมืองไทย เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลก สาวกมินิก็มีโอกาสได้พบกับเจ้า มินิ คูเปอร์ ใหม่ รหัส อาร์56 ตัวจริง ด้วยการเปิดตัวแบบเอ็กคลูซีฟ ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 28 ที่ผ่านมา และเพื่อเป็นการชิมลาง มินิ ได้จัดทริปเล็กๆ ทดสอบเจ้า มินิ อาร์56 ใหม่ บนเส้นทางหัวหิน-ปราณบุรี โดยเราได้ขับทั้งรุ่น คูเปอร์ และคูเปอร์ เอส แต่เฉพาะเกียร์ธรรมดาเท่านั้น เนื่องจากรุ่นเกียร์อัตโนมัติจะเริ่มผลิตประมาณปลายเดือนเมษายนนี้

ภายนอก แตกต่างแต่ไม่รู้สึก
มินิ บอกว่าเจ้า อาร์ 56 นั้นใช้ชิ้นส่วนใหม่ถึงกว่า 90% แต่สิ่งเราเห็นอยู่ตรงหน้านั้น สารภาพตรงๆ ว่า ไม่รู้สึกว่า มันต่างจากรุ่นเดิมตรงไหนเลย ทั้งรูปทรง ดีไซน์ หรือว่าอุปกรณ์อย่างไฟหน้า หรือไฟท้าย คือถ้าให้ขับรุ่นใหม่ คู่มากับรุ่นเก่า เชื่อขนมกินได้ว่า ทุกคนที่ไม่เคยเป็นเจ้าของมินิจะคิดว่าเป็นรถรุ่นเดียวกันแน่นอน

ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเป็นรูปธรรมตามเอกสารของมินิ นั่นก็คือ ขนาดของตัวถังรถที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม 60 มิลลิเมตร สำหรับรุ่นคูเปอร์ และ 61 มิลลิเมตร ในรุ่นคูเปอร์ เอส พร้อมฝากระโปรงหน้าที่นูนสูงขึ้นอีก 60 มิลลิเมตร เพิ่มพื้นที่ว่างระหว่างฝากระโปรงกับเครื่องยนต์

ซึ่งการเพิ่มขนาดมิติของตัวถังนี้ เพื่อรองรับมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ของยุโรปที่จะประกาศใช้ในปี ค.ศ. 2010 ที่จะเพิ่มหัวข้อความปลอดภัยของคนเดินถนนเข้าไปด้วย โดยมินิรุ่นที่แล้ว ทำได้ไม่ดี จากผลทดสอบการชน มินิ รหัส อาร์50/53 เมื่อปี 2002ของ ยูโรเอ็นแคป มินิ ได้เพียง 1 ดาวในหัวข้อ ความปลอดภัยต่อคนเดินถนน ขณะที่ได้ 4 ดาวในหัวข้อความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ส่วนรุ่นใหม่ อาร์56 นั้นขณะนี้ยังไม่มีผลทดสอบออกมา

ภายใน ให้รู้ว่าใส่ใจ
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่คุณจะเห็นเมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งคือ เรือนไมล์ทรงกลมที่ติดตั้งอยู่กลางคอนโซล ซึ่งของเดิมก็ว่าใหญ่อยู่แล้ว แต่รุ่นใหม่ใหญ่กว่ามาก ดูโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์แสดงความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ที่ชัดเจนที่สุด โดยมีจอและปุ่มควบคุมการทำงานของวิทยุอยู่ในหน้าปัดนี้ด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างยังคงดีไซน์เดิมเอาไว้ไม่เปลี่ยน ช่องแอร์ทรงกลม พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะหนัง ครบถ้วนกระบวนความ พร้อมด้วยทีเด็ดที่ มินิ ภูมิใจนำเสนอ นั่นก็คือ ไฟในรถเปลี่ยนสีได้ ซึ่งติดตั้งอยู่ที่หลังมือจับเปิดประตู เสากลางรถ และหลังคา รวม 6 จุด เพื่อปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับอารมณ์ผู้ขับขี่ เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยที่ถูกใส่ใจอย่างน่าทึ่ง

เครื่องยนต์ แรงและประหยัดขึ้น
เจ้าอาร์ 56 ได้รับการบรรจุเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้พื้นฐานของระบบ วาล์วทรอนิค (Valvetronic) จากค่ายบีเอ็มดับเบิ้ลยู มีกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิมรุ่นละ 5 แรงม้า โดยในรุ่นคูเปอร์เป็นเครื่องขนาด 1.6 ลิตร กำลังสูดสุด 120 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองของเครื่องยนต์มินิ คูเปอร์ใหม่อยู่ที่เพียง 5.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 17.24 กิโลเมตรต่อลิตร อ้างอิงตามผลการทดสอบของ EU

ส่วนในรุ่นคูเปอร์ เอสใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร เท่ากัน แต่มีเทอร์โบ ทำให้ผลิตกำลังสูดสุดได้ถึง 175 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-5,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบ Overboost ของเทอร์โบที่ผลิตแรงบิดในช่วงเร่งฉับพลันที่ 260 นิวตัน-เมตรที่ 1,700-4,500 รอบต่อนาที

สมรรถนะ สนุกขึ้น
สำหรับการทดสอบเริ่มจากตัวเมืองหัวหินวิ่งไปยังปราณบุรีแล้วจึงวกกลับมาที่เดิมรวมระยะทางประมาณ 160 กม. ซึ่งจะผ่านเส้นทางหลากหลายรูปแบบ ในช่วงแรกเราขับตัว คูเปอร์ ก่อน โดยผ่านใจกลางเมืองหัวหินที่มีการจราจรค่อนข้างพลุกพล่าน เจ้ามินิดูจะเหมาะสมกับสภาวะเช่นนี้เป็นพิเศษ ด้วยการควบคุมรถที่ง่ายดาย คล่องตัว แม้จะเป็นเกียร์ธรรมดา ก็ไม่มีผลเพราะคลัทซ์นิ่มสบายเท้า

หลังจากออกมานอกเมือง ช่วงนี้เป็นทางยาวๆ พอใช้ความเร็วได้ในระดับ 100-120 กม./ชม. เจ้าคูเปอร์วิ่งได้นิ่งเกาะถนนดีมาก สมกับคำว่า “โกคาร์ท ฟิลลิ่ง” แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากพอสมควรเนื่องจากเส้นทางตามต่างจังหวัดของไทยมักจะมีเด็กแว้นโผล่มาทักทายเป็นระยะๆ

เมื่อขับมาถึงเส้นทางคดเคี้ยวและขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ เรารู้สึกถึงสภาพผิวถนนได้อย่างชัดเจนจากช่วงล่างที่เซ็ทไว้แข็ง แต่ทำให้รู้ว่า เจ้ามินิ มีดีที่ การควบคุมพวงมาลัยหักหลบฉุกเฉินและเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ให้ความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่อย่างชนิดที่หาจากรถรุ่นอื่นไม่ได้จริงๆ

ผ่านไปครึ่งทางก็ถึงคิวเปลี่ยนมาขับเจ้า คูเปอร์ เอส แค่ออกตัวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแรงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญเป็นความแรงในระดับที่ควบคุมได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่ง ที่เรียกเมื่อไหร่ก็มาในทุกย่านความเร็ว

ความเร็วสูงสุดที่ลองในวันนั้น คูเปอร์ เอส วิ่งไปแตะ160 กม./ชม. แบบสบายๆ ไม่รู้ตัว เสียงลมเริ่มได้ยินที่ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม.เป็นต้นไป (ในรุ่นที่มีซันรูฟ) เบรกค่อนข้างหนักเท้าตามสไตล์รถยุโรป ส่วนความสนุกไม่ต้องถามถึง เพราะคำตอบคือ คุณจะไม่อยากขับ คูเปอร์ อีกต่อไปถ้าได้ลิ้มลอง คูเปอร์ เอส แล้ว

ความคุ้มค่า
ด้วยราคาค่าตัว 2.3 ล้านบาทในรุ่น คูเปอร์ และ 2.8 ล้านในรุ่น คูเปอร์ เอส ต้องยอมรับว่ามีคู่แข่งในตลาดอย่างมากมาย เมื่อเทียบด้วยจำนวนเงิน แต่กับคู่แข่งโดยตรงในตลาดโลก ก็จะมี ฮอนด้า แจ๊ส และ โตโยต้า ยาริส จากการจัดหมวดหมู่รถของยูโรเอ็นแค็ป สถาบันทดสอบการชนซึ่งได้รับความเชื่อถือของยุโรป แต่สำหรับในบ้านเราคงไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบได้ ด้วยเหตุผลด้านราคาอย่างที่กล่าวมา
ซึ่งเรื่องราคาค่าตัว มินิ ที่แพงนั้นเป็นเหตุผลมาจากการเป็นรถนำเข้าแบบสำเร็จรูป ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง ประมาณ 200% หรือคิดง่ายๆ คือ ถ้าซื้อมินิในเมืองไทย 1 คันต้องซื้อให้รัฐอีก 2 คันด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่รถมีราคาสูงมาก

ถึงบรรทัดนี้เชื่อหรือไม่ว่าแม้ มินิ จะมีราคาสูงขนาดนี้แต่กลับเกิดปัญหารถไม่พอขาย แสดงว่าผู้ที่กำลังคิดหรือเป็นเจ้าของมินิอยู่แล้วนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เขาเหล่านั้นเลือก มินิ ก็คือ “ใจที่รักในมินิ” ส่วนสมรรถนะหรือราคาคงเป็นเพียงเรื่องที่สนับสนุนให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากกว่า

















กำลังโหลดความคิดเห็น