ดัทสัน แอล620 ต้นตำนานกระบะช้างเหยียบ
กระบะดัทสันรุ่นต่อมาเริ่มต้นจำหน่ายเมื่อปี 2515 ใช้รหัสตัวถัง แอล620 หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อ รุ่นช้างเหยียบ นอกจากจะใช้เครื่องยนต์ เบนซิน 1300 ซีซี แล้วยังมีรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1500 ซีซี เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นเดิม
กระบะรุ่นนี้นับเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับกระบะดัทสันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้รถกระบะอย่างกว้างขวาง จากรูปทรงของตัวรถที่ดูแข็งแรงและสวยงาม(ในยุคสมัยนั้น) ตัวรถโค้งมนตลอดคัน ไฟหน้าเป็นแบบกลมข้างละ 2 ดวง อยู่บนกระจังหน้าแบบตารางตรงกลางยื่นออกมาเป็นมุมแหลมตามแนวกันชนและฝากระโปรงหน้า ปะยี่ห้อดัทสันที่กระจังหน้า ด้านข้างมีไฟเลี้ยวและโลโก้ดัทสันที่บังโกลนหน้า ไฟท้ายเป็นแนวนอนใต้ฝาท้ายในรุ่นแรก ต่อมาออกแบบเป็นแนวตั้งที่มุมท้ายกระบะ มีที่ล็อคฝาท้ายที่ขอบกระบะ

ส่วนภายในห้องโดยสารเรียบง่าย ไม่มีแอร์ เบาะนั่งเป็นแบบยาวแถวเดียว พร้อมกระจกหูช้างแบบเปิดรับลมได้ พวงมาลัยธรรมดาไม่มีพาวเวอร์ ช่วงล่างยังเป็นแหนบและคานแข็ง ใช้ล้อกระทะเหล็กขนาด 13 นิ้ว ระบบเบรกเป็นแบบดรัมเบรกทั้งหน้าและหลัง
เครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 1300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า(เพิ่มจากรุ่นเดิม 3 แรงม้า) ส่วนรุ่น 1500 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 5000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ จ่ายน้ำมันด้วยคาร์บูเรเตอร์ ตัวเครื่องจุน้ำมันเครื่อง 3.8 ลิตร น้ำมันเกียร์ 2 ลิตร น้ำหล่อเย็น 6 ลิตร ถังน้ำมันจุ 45 ลิตร น้ำหนักของรถช่วงสั้น 988 กก. ส่วนช่วงยาวหนัก 998 กก. โดยรุ่น 1500 ซีซี ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 105000 บาท ก่อนสิ้นสุดการจำหน่ายไปเมื่อราวปี 2520 รวมยอดการจำหน่ายทุกรุ่นประมาณ 20,691 คัน
หลังจากนั้นดัทสันก็ได้เปลี่ยน รหัสตัวถังของเจ้าช้างเหยียบเป็น อาร์620 พร้อมทั้งพัฒนาเครื่องยนต์ตัวใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยยังคงรูปแบบ รถกระบะตอนเดียว ที่เน้นการบรรทุกเป็นหลัก ทว่าพิเศษสุดของรุ่นนี้และถือเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่ดัทสัน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนเบาะนั่งยังคงเป็นแบบยาวแถวเดียวเช่นเดิม
เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2200 ซีซี ใช้เชื้อเพลิง ดีเซล แบบ 4 สูบ โอเวอร์เฮดวาล์ว ให้กำลังสูงสุด 62 แรงม้าที่ 4000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ สิ้นสุดการจำหน่ายไปเมื่อราวปี 2522 โดยจำหน่ายในราคาประมาณ 106,500-128,000 บาท รวมยอดจำหน่ายทั้งสิ้นประมาณ 26,136 คัน

ดัทสัน โปรเฟสชั่นแนล-ดี/นิสสัน โปรเฟสชั่นแนล-ไฟว์
หลังจากที่รุ่นช้างเหยียบได้สร้างชื่อเอาไว้อย่างมาก ดัทสัน (โดยสยามกลการ) จึงได้พัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ขึ้นในชื่อ โปรเฟสชั่นแนล-ดี ภายใต้รหัส เอสจี720 (SG720) แบบขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งมีเครื่องยนต์ให้เลือกคบหาถึง 4 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1600 ซีซี. (รหัสJ16), 1800 ซีซี., เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2200 ซีซี. (รหัส SD22) และ 2300 ซีซี. (รหัสSD23)
รูปลักษณ์ภายนอกของดัทสันโปรเฟสชั่นแนล-ดี พัฒนามาจากรุ่นช้างเหยียบโดยเพิ่มเหลี่ยมมุมของตัวรถมากขึ้น ไฟหน้าเป็นบบสี่เหลี่ยมข้างละ 2 ดวง กระจังหน้าชุบโครเมี่ยมแบบตะแกรงติดตัวอักษร DATSUN ตรงกลาง กันชนหน้าเป็นเหล็กขึ้นรูปพ่นสีดำ รูปทรงด้านข้างกลมกลืนทันสมัยมากขึ้น ฝากระบะท้ายมีอักษร DATSUN และสติ๊กเกอร์คำว่าดีเซลชัดเจน
ภายในตกแต่งสไตล์รถเก๋ง เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากขึ้น พวงมาลัยแบบ 2 ก้าน แผงหน้าปัดออกแบบให้มีมาตรวัดครบถ้วน พร้อมไฟเตือนต่างๆ เบาะนั่งแบบยาวมีหมอนพิงศรีษะ และแผงข้างประตูขึ้นรูปสวยงาม
รายละเอียดของเครื่องยนต์ทั้ง 4 ขนาด เบนซิน 1600 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 80 แรงม้าที่ 5200 รอบ/นาที เป็นกระบะช่วงสั้นน้ำหนัก 988 กก. ส่วนรุ่น 1800 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 85 แรงม้าที่ 5200 รอบ/นาที เป็นกระบะช่วงยาว น้ำหนัก 998 กก. ทั้ง 2 รุ่นจ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลเป็นแบบ 4 สูบ โอเวอร์เฮดวาล์วขนาด 2200 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า ที่ 4000 รอบ/นาที และรุ่น 2300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 77 แรงม้า ที่ 4300 รอบ/นาที

ดัทสันปรับโฉมภายนอกโปรเฟสชั่นแนล-ดี อีกหลายครั้งและมีการเพิ่มรุ่นดับเบิลแค็ปออกจำหน่ายในปี 2524 โดยรุ่น 2200 ซีซี สิ้นสุดการจำหน่ายไปราวต้นปี 2525 ส่วนรุ่น 2300 ซีซี ยังคงจำหน่ายอยู่ จนกระทั่งบริษัทฯ ได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่จาก “ดัทสัน” เป็น “นิสสัน” เฉกเช่นในปัจจุบัน
หลังจากเปลี่ยนยี่ห้อจากดัทสันเป็นนิสสันแล้ว นิสสันก็จับเอาเจ้าโปรเฟสชั่นแนล-ดี มาปรับรูปโฉมภายนอก และเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายใน พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น โปรเฟสชั่นแนล-ไฟว์ ซึ่งถือเป็นรถกระบะรุ่นแรกภายใต้แบรนด์นิสสันในเมืองไทย โดยที่เครื่องยนต์ยังคงมีทั้งแบบดีเซล รหัส SD23 ขนาด 2300 ซีซี. 77 แรงม้า เท่าเดิม และเบนซินขนาด 1800 ซีซี. ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 150,000 -185,000 บาท
ทั้งดัทสันและนิสสัน โปรเฟสชั่นแนลทุกเวอร์ชั่น มียอดการจำหน่ายรวมประมาณ 93,000 คันก่อนที่จะสิ้นสุดการจำหน่ายไปราวปี 2528 พร้อมกับการมาของ “นิสสัน บิ๊กเอ็ม”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจาก บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
เรียบเรียงใหม่โดย ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง
กระบะดัทสันรุ่นต่อมาเริ่มต้นจำหน่ายเมื่อปี 2515 ใช้รหัสตัวถัง แอล620 หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อ รุ่นช้างเหยียบ นอกจากจะใช้เครื่องยนต์ เบนซิน 1300 ซีซี แล้วยังมีรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1500 ซีซี เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นเดิม
กระบะรุ่นนี้นับเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับกระบะดัทสันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้รถกระบะอย่างกว้างขวาง จากรูปทรงของตัวรถที่ดูแข็งแรงและสวยงาม(ในยุคสมัยนั้น) ตัวรถโค้งมนตลอดคัน ไฟหน้าเป็นแบบกลมข้างละ 2 ดวง อยู่บนกระจังหน้าแบบตารางตรงกลางยื่นออกมาเป็นมุมแหลมตามแนวกันชนและฝากระโปรงหน้า ปะยี่ห้อดัทสันที่กระจังหน้า ด้านข้างมีไฟเลี้ยวและโลโก้ดัทสันที่บังโกลนหน้า ไฟท้ายเป็นแนวนอนใต้ฝาท้ายในรุ่นแรก ต่อมาออกแบบเป็นแนวตั้งที่มุมท้ายกระบะ มีที่ล็อคฝาท้ายที่ขอบกระบะ
ส่วนภายในห้องโดยสารเรียบง่าย ไม่มีแอร์ เบาะนั่งเป็นแบบยาวแถวเดียว พร้อมกระจกหูช้างแบบเปิดรับลมได้ พวงมาลัยธรรมดาไม่มีพาวเวอร์ ช่วงล่างยังเป็นแหนบและคานแข็ง ใช้ล้อกระทะเหล็กขนาด 13 นิ้ว ระบบเบรกเป็นแบบดรัมเบรกทั้งหน้าและหลัง
เครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 1300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า(เพิ่มจากรุ่นเดิม 3 แรงม้า) ส่วนรุ่น 1500 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 5000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ จ่ายน้ำมันด้วยคาร์บูเรเตอร์ ตัวเครื่องจุน้ำมันเครื่อง 3.8 ลิตร น้ำมันเกียร์ 2 ลิตร น้ำหล่อเย็น 6 ลิตร ถังน้ำมันจุ 45 ลิตร น้ำหนักของรถช่วงสั้น 988 กก. ส่วนช่วงยาวหนัก 998 กก. โดยรุ่น 1500 ซีซี ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 105000 บาท ก่อนสิ้นสุดการจำหน่ายไปเมื่อราวปี 2520 รวมยอดการจำหน่ายทุกรุ่นประมาณ 20,691 คัน
หลังจากนั้นดัทสันก็ได้เปลี่ยน รหัสตัวถังของเจ้าช้างเหยียบเป็น อาร์620 พร้อมทั้งพัฒนาเครื่องยนต์ตัวใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยยังคงรูปแบบ รถกระบะตอนเดียว ที่เน้นการบรรทุกเป็นหลัก ทว่าพิเศษสุดของรุ่นนี้และถือเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่ดัทสัน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนเบาะนั่งยังคงเป็นแบบยาวแถวเดียวเช่นเดิม
เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2200 ซีซี ใช้เชื้อเพลิง ดีเซล แบบ 4 สูบ โอเวอร์เฮดวาล์ว ให้กำลังสูงสุด 62 แรงม้าที่ 4000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ สิ้นสุดการจำหน่ายไปเมื่อราวปี 2522 โดยจำหน่ายในราคาประมาณ 106,500-128,000 บาท รวมยอดจำหน่ายทั้งสิ้นประมาณ 26,136 คัน
ดัทสัน โปรเฟสชั่นแนล-ดี/นิสสัน โปรเฟสชั่นแนล-ไฟว์
หลังจากที่รุ่นช้างเหยียบได้สร้างชื่อเอาไว้อย่างมาก ดัทสัน (โดยสยามกลการ) จึงได้พัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ขึ้นในชื่อ โปรเฟสชั่นแนล-ดี ภายใต้รหัส เอสจี720 (SG720) แบบขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งมีเครื่องยนต์ให้เลือกคบหาถึง 4 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1600 ซีซี. (รหัสJ16), 1800 ซีซี., เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2200 ซีซี. (รหัส SD22) และ 2300 ซีซี. (รหัสSD23)
รูปลักษณ์ภายนอกของดัทสันโปรเฟสชั่นแนล-ดี พัฒนามาจากรุ่นช้างเหยียบโดยเพิ่มเหลี่ยมมุมของตัวรถมากขึ้น ไฟหน้าเป็นบบสี่เหลี่ยมข้างละ 2 ดวง กระจังหน้าชุบโครเมี่ยมแบบตะแกรงติดตัวอักษร DATSUN ตรงกลาง กันชนหน้าเป็นเหล็กขึ้นรูปพ่นสีดำ รูปทรงด้านข้างกลมกลืนทันสมัยมากขึ้น ฝากระบะท้ายมีอักษร DATSUN และสติ๊กเกอร์คำว่าดีเซลชัดเจน
ภายในตกแต่งสไตล์รถเก๋ง เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากขึ้น พวงมาลัยแบบ 2 ก้าน แผงหน้าปัดออกแบบให้มีมาตรวัดครบถ้วน พร้อมไฟเตือนต่างๆ เบาะนั่งแบบยาวมีหมอนพิงศรีษะ และแผงข้างประตูขึ้นรูปสวยงาม
รายละเอียดของเครื่องยนต์ทั้ง 4 ขนาด เบนซิน 1600 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 80 แรงม้าที่ 5200 รอบ/นาที เป็นกระบะช่วงสั้นน้ำหนัก 988 กก. ส่วนรุ่น 1800 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 85 แรงม้าที่ 5200 รอบ/นาที เป็นกระบะช่วงยาว น้ำหนัก 998 กก. ทั้ง 2 รุ่นจ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลเป็นแบบ 4 สูบ โอเวอร์เฮดวาล์วขนาด 2200 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า ที่ 4000 รอบ/นาที และรุ่น 2300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 77 แรงม้า ที่ 4300 รอบ/นาที
ดัทสันปรับโฉมภายนอกโปรเฟสชั่นแนล-ดี อีกหลายครั้งและมีการเพิ่มรุ่นดับเบิลแค็ปออกจำหน่ายในปี 2524 โดยรุ่น 2200 ซีซี สิ้นสุดการจำหน่ายไปราวต้นปี 2525 ส่วนรุ่น 2300 ซีซี ยังคงจำหน่ายอยู่ จนกระทั่งบริษัทฯ ได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่จาก “ดัทสัน” เป็น “นิสสัน” เฉกเช่นในปัจจุบัน
หลังจากเปลี่ยนยี่ห้อจากดัทสันเป็นนิสสันแล้ว นิสสันก็จับเอาเจ้าโปรเฟสชั่นแนล-ดี มาปรับรูปโฉมภายนอก และเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายใน พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น โปรเฟสชั่นแนล-ไฟว์ ซึ่งถือเป็นรถกระบะรุ่นแรกภายใต้แบรนด์นิสสันในเมืองไทย โดยที่เครื่องยนต์ยังคงมีทั้งแบบดีเซล รหัส SD23 ขนาด 2300 ซีซี. 77 แรงม้า เท่าเดิม และเบนซินขนาด 1800 ซีซี. ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 150,000 -185,000 บาท
ทั้งดัทสันและนิสสัน โปรเฟสชั่นแนลทุกเวอร์ชั่น มียอดการจำหน่ายรวมประมาณ 93,000 คันก่อนที่จะสิ้นสุดการจำหน่ายไปราวปี 2528 พร้อมกับการมาของ “นิสสัน บิ๊กเอ็ม”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจาก บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
เรียบเรียงใหม่โดย ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง