หลังจากที่โลดแล่นทำตลาดมานานกว่า 4 ปี ถึงเวลาแล้วที่เมอร์เซเดส-เบนซ์จะทำการปรับปรุงโฉม (จะเฟซลิฟท์หรือไมเนอร์เชนจ์ ก็เหมือนแล้วแต่จะเรียก) ให้กับเจ้า อี-คลาส พระเอกตลอดกาลตัวจริงเสียงจริงของค่ายดาวสามแฉก ณ เมืองเบียร์
“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้มีโอกาสทดสอบเจ้าอี-คลาสตัวใหม่นี้ โดยเป็นรุ่น อี280 เอวังการ์ด 3.0 ลิตร ซึ่งถือเป็นตัวท๊อปของอี-คลาสที่จำหน่ายโดยเดมเลอร์ไครสเลอร์ ระยะทางรวมประมาณ 300 กม. ทั้งแบบในเมืองกลางกรุงเทพฯ และแบบนอกเมือง บนถ.พหลโยธิน เส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี ส่วนผลจะเป็นอย่างไร เรามาเริ่มต้นที่.....
ภายนอก โฉบเฉี่ยวขึ้น
สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดก็คือ โคมไฟและกระจังหน้า โดยในโคมไฟมีแถบเส้น ส่วนกระจังหน้ามีขนาดใหญ่ขึ้น นอกนั้นคงความรู้สึกแบบเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถ้าไม่สังเกตุ หรือเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับรถแบรนด์นี้แล้วละก็ เขาจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่เลย
และพิเศษสำหรับเจ้า อี280 คันนี้มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ นั่นก็คือ ปลายท่อไอเสียแบบคู่โดดเด่นเพิ่มความดุดันอยู่ด้านท้ายรถ นอกจากนั้นยังมีล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้วพร้อมยางหน้าขนาด 245/40 R18 และยางหลัง ขนาด 265/35 R18 ครบถ้วนความสปอร์ต ไม่ต้องไปแต่งอะไรเพิ่มอีก ที่สำคัญคนที่มีกำลังทรัพย์ซื้อรถราคาขนาดนี้คงไม่เป็นปัญหาในเรื่องของราคายางสำหรับการเปลี่ยนครั้งต่อไป
แต่อย่างว่านะครับการเปลี่ยนครั้งนี้เป็นเพียงการ ไมเนอร์เชนจ์หรือเฟซลิฟท์ ไม่ใช่ก็เปลี่ยนโฉม (Model Change) เพราะถ้านับตามอายุแล้วคาดว่าจะเหลืออีกประมาณ 2 ปีก่อนที่โฉมนี้จะกลายเป็นรถตกรุ่น
ภายใน ไม่รู้สึกต่าง
เมื่อเข้ามานั่งภายในห้องโดยสาร บอกตรงๆ ว่าเราไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดเลย ความหรูหรา ผสานความสปอร์ต ยังคงเต็มเปี่ยมอยู่ในเจ้า อี 280 คันนี้ ด้วยลายไม้สีพิเศษ กลิ่นหนังอันเป็นเอกลักษณ์ เบาะนั่งที่ กระชับตัว นุ่ม นั่งสบาย ตลอดการเดินทาง
ส่วนการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ทำได้โดยง่าย ตำแหน่งของปุ่มถูกจัดวางไว้ในจุดที่เหมาะสม หาไม่ยาก และชื่นชอบเป็นพิเศษกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่ใช้งานง่าย ทั้งการปรับวิทยุ ดูตัวเลขต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ไม่ต้องละสายตาจากถนนก็สามารถคอนโทรลสิ่งต่างๆ ได้เนียนๆ สำหรับที่นั่งด้านหลังกว้างขวาง นั่งสบายแบบผู้บริหาร
เครื่องยนต์ แรงที่สุดในตระกูล
ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 219 แรงม้าที่ 5500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 2400-5000 รอบ/นาที เรียกได้ว่าเป็นเครื่องยนต์แรงที่สุดในตระกูล อี-คลาสที่นำเข้ามาขายโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ผสานกับเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ 7G-Tronic เดินหน้า 7 สปีด ถอยหลัง 2 สปีด
อัดแน่นด้วยความปลอดภัย
ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่เบนซ์ให้ความสำคัญที่สุด อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต่างๆ ของรุ่นเดิมยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วน พร้อมเพิ่มเติมด้วยระบบ Pre-Safe ซึ่งสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าถึงสถานการณ์ที่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หากเซ็นเซอร์ตรวจพบว่ารถกำลังเสียการทรงตัว ระบบจะสั่งให้เข็มขัดนิรภัยรั้งกระชับร่างกายทันที
พร้อมด้วย ระบบเบรกแปรผัน Adaptive Brake ซึ่งนำมาจาก เอส-คลาส รุ่นใหม่ ระบบเตือนแรงดันลมยาง และหมอนรองศีรษะ 5 ตำแหน่ง คู่หน้าแบบ Neck Pro Head Restraints ช่วยลดแรงกระแทกที่คอและกระดูกสันหลังตอนบนเมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง
สมรรถนะ แรง นิ่ง นุ่ม
การขับขี่ ต้องยอมรับว่ารู้สึกถึงความแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเด่นชัด แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าเป็นเพราะสเปคของรถที่ต่างกันด้วยหรือไม่ (เนื่องจากรุ่นที่แล้วเราได้ทดลองเป็นตัว อี-คลาสรุ่นอี 200 เอ็นจีที ไม่ใช่ตัว อี 280)
โดยเฉพาะในเรื่องของการเกาะถนน ช่วงทางตรงที่หนึบและนิ่งมากๆ ไม่ว่าจะขับด้วยความเร็วสูงถึง 140 กม./ชม. แต่เราไม่รู้สึกว่าเร็วเลย เจ้าอี280 วิ่งขึ้นแบบนิ่งๆ จนถึงความเร็วที่ 180 กม./ชม. เราถึงจะรู้สึกว่าเร็วและนั่นก็เป็นความเร็วสูงสุดที่เราทดสอบในครั้งนี้ ทั้งที่จริงแล้วยังสามารถไปต่อได้อีกแบบเหลือๆ แต่เนื่องจากหมดทางวิ่งและเพื่อความปลอดภัย
ส่วนทางโค้ง เจ้าอี280 ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจได้ว่าไม่มีหลุดแน่นอน ต้องชมช่วงล่างด้านหน้าที่เป็น 4 ลิงค์ คอยล์สปริง และหลัง เอ็มบี มัลติลิงค์ คอยล์สปริง
ด้านอัตราเร่งก็ต้องชมอีกเช่นกันว่า ทันใจวัยโจ๋ ไม่ว่าจะย่านความเร็วที่ 60-80 หรือ 100-120 กม./ชม. เพียงกดคันเร่งคิกดาวน์ เจ้าอี280 สามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ไม่มีรีรอ คันเร่งน้ำหนักกำลังดี การควบคุมพวงมาลัยแม่นยำและแปรผันตามความเร็วของรถแบบจริงๆ คือยิ่งวิ่งเร็วพวงมาลัยยิ่งหนักขึ้นแบบชัดเจน
ถ้าเป็นการแบบในเมืองพวงมาลัยก็จะเบา นุ่มมือบังคับเลี้ยวง่าย รัศมีวงเลี้ยวแคบ กลับรถในถนน 4 เลนได้โดยไม่ต้องถอย แป้นเบรกน้ำหนักและการตอบสนองพอดีไม่เบาจนเบรกแล้วหัวทิ่มหรือลึกจนเกือบเบรกไม่ทัน
นอกจากนั้นที่พวงมาลัยยังมีแป้นสำหรับเปลี่ยนเกียร์ในโหมดการขับแบบ M (เล่นเกียร์ได้เหมือนเกียร์ธรรมดา) ซึ่งใช้งานได้ง่าย เพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เล่นได้ทุกเกียร์ด้วยแรงบิดสูงสุดซึ่งมาในรอบที่กว้าง 2400-5000 รอบ/นาที ตอบสนองฉับไว นุ่มเรียบไม่มีกระตุกในทุกการเปลี่ยนเกียร์
ส่วนสิ่งที่ประทับใจเรามากที่สุดนอกจากความสนุกในการขับขี่ก็คือ ความเงียบของห้องโดยสาร เรียกได้ว่า 160 กม./ชม. ยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงลมเข้ารบกวนเลย จะมีก็แต่เสียงยาง ขณะวิ่งผ่านรอบต่อของผิวถนนคอนกรีตเท่านั้น ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้
สำหรับความเร็วตลอดการเดินทางในครั้งนี้จะอยู่ประมาณ 120 กม./ชม. วิ่งไปไม่มีความรู้สึกเลยว่าเร็ว เนื่องจากรถนิ่ง และเกาะถนนดีมาก อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย ตามผลที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ในเจ้าอี 280 อยู่ที่ประมาณ 10 กม./ลิตร เมื่อเดินทางแบบนอกเมือง และค่าเฉลี่ยรวมทั้งแบบนอกเมือง-ในเมืองอยู่ที่ประมาณ 8.3 กม./ลิตร
มาถึงตรงนี้เรายังไม่เห็นจุดอ่อนหรือสิ่งที่เป็นข้อด้อยใดๆ เลย นั่นก็อาจจะทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเจ้าอี280 มันดีอย่างนี้จริงๆ หรือ เราก็ต้องบอกตรงๆ ว่า ให้ท่านไปทดลองขับเอง แล้วดูว่าเจ้า อี280 เป็นอย่างที่เรานำเสนอหรือไม่ อย่าเพิ่งเชื่อเราเต็ม 100% จนกว่าท่านจะได้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเองจริงๆ
ความคุ้มค่า
บอกตามตรงว่า ไม่เคยคิดว่ารถซีดานขนาดกลางอย่างเจ้าอี-คลาสนั้นจะขับแบบเอาสนุก ได้ไม่แพ้รถสปอร์ตพันธ์แท้หลายรุ่นที่มีขายอยู่ในเมืองไทย ดังนั้นผู้ที่สนใจจะเป็นเจ้าของ เราขอแนะนำว่าถ้าท่านไม่ใช่คนที่ขับรถเอง อย่าซื้อเลยครับรุ่นนี้ไปซื้อรุ่นอื่นที่ค่าตัวถูกกว่าอย่างเจ้า อี200 ก็พอ แต่ถ้าชอบขับรถเอง รักสนุก โดดเด่น ดูดีเหนือคนอื่น หรือคุณคือแฟนพันธุ์แท้เมอร์เซเดส-เบนซ์ รับรองเจ้า อี280 จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังกับค่าตัว 5.05 ล้านบาท(แพงขึ้นกว่ารุ่นเดิม 1 แสนบาท) อย่างแน่นอน ฟันธง
เก็บตกจากอี-คลาสใหม่
-อี-คลาส(เฟซลิฟท์) มีชิ้นส่วนใหม่กว่า 2,000 ชิ้นทั้งที่เป็นของใหม่และของเดิมทึ่ได้รับการพัฒนาขึ้น
-ในปี 2005 อี-คลาสเป็นรถยนต์นั่งแบบซาลูนอันดับหนึ่งของผู้บริหารในยุโรปตะวันตก มีส่วนแบ่งการตลาด ประมาณ 30%
- อี-คลาสมียอดจำหน่ายทั่วโลกกว่า 1 ล้านคัน นับตั้งแต่เปิดตัวโมเดลนี้เมื่อปี 2002 โดยแบ่งเป็นแบบซาลูนประมาณ 86% และแบบเอสเตทประมาณ 14%