แม้จะเป็นสายพันธุ์ใหม่ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าหน้าตาของมันช่างคุ้นหน้าคุ้นเคยเหลือเกิน...ใช่แล้ว! นี่คือ อีกตัวอย่างของการเพิ่มทางเลือกในตลาดแบบไม่ต้องลงทุนเพิ่มอะไรมากมาย
เพราะจะว่าไปแล้ว แฮทช์แบ็กไซส์คอมแพ็กต์ชื่อใหม่อย่างเบลดของโตโยต้า คือ กลยุทธ์ง่ายๆ ในการนำรถยนต์ที่มีอยู่แล้วในตลาดมาปรับนิดโน่นหน่อย พร้อมกับพลิกบทบาทเพื่อหันไปจับตลาดลูกค้าอีกกลุ่มที่อาจจะอยากได้รถยนต์ไซส์เล็กแต่สมรรถนะเกินตัว ซึ่งเป็นการนำออริส หรือเวอร์ชันแฮทช์แบ็ก 5 ประตูบนพื้นฐานของโคโรลล่าใหม่มาแต่งหน้าทาปากใหม่ และวางเครื่องยนต์ 2,400 ซีซีของคัมรี่
เบลดคือคันเดียวกับออริส เพียงแต่เพื่อให้เกิดความแตกต่างและลดข้อครหาในเรื่องการเล่นอะไรง่ายเกินไป โตโยต้าก็เลยออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ โดยเฉพาะด้านหน้าลงทุนเปลี่ยนทั้งฝากระโปรงหน้า กระจังหน้า กันชนหน้า และไฟหน้าทรงใหม่เพื่อให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มาพร้อมกับไฟท้ายลายใหม่และกันชนท้ายที่ดูสปอร์ตขึ้น ส่วนรายละเอียดภายในใช้ชิ้นส่วนหลักเหมือนเดิม แต่ตกแต่งเพิ่มความหรู และเปลี่ยนพวงมาลัยมาเป็นแบบ 4 ก้านคล้ายกับของคัมรี่ใหม่
เหตุผลในการทำลักษณะนี้มีการคาดเดาออกมาได้ 2 ประเด็นคือ การพลิกบทบาทของตัวรถจากเดิมที่ออริสเป็นรถยนต์สำหรับลูกค้าวัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนมาสู่เบลดที่หันมาจับลูกค้าที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าโดยพื้นฐานทางวิศวกรรมแล้วจะเป็นคันเดียวกัน แต่จากการตกแต่งที่หรูหราขึ้นและเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ที่มีความจุเยอะขึ้น ก็ทำให้สามารถกำหนดระดับตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งก็คือ จากการที่ออริสเป็นรถยนต์ที่คาดว่าจะมียอดขายสูงในญี่ปุ่นแต่ถูกผูกขาดในการทำตลาดเพียงเครือข่ายจำหน่ายเดียวคือ เน็ตส์ (Netz) ทำให้โตโยต้าต้องแก้เกมเพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายอื่นมีเอี่ยวในการทำตลาดด้วย กับการเปิดตัวเวอร์ชันนี้ออกมาเพื่อให้เครือข่ายจำหน่ายอย่างโตโยต้าและโตโยเพ็ตรับไปขาย
กลยุทธ์นี้ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ดังๆ หลายรุ่นในญี่ปุ่น และในโคโรลล่า แฮทช์แบ็กรุ่นที่แล้วก็มีทั้งเวอร์ชันรังซ์ (Runx) และอัลเล็กซ์ (Allex) ทำตลาด ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นรถยนต์คันเดียวกัน แต่มีรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย หรืออย่างแอคคอร์ด 2 รุ่นที่แล้วในญี่ปุ่นที่เปิดตัวเมื่อปี 1997 ก็มีทั้งฮอนด้า แอคคอร์ด และอีกชื่อหนึ่งคือทอร์นีโอทำตลาด เพื่อเป็นการกระจายให้เครือข่ายจำหน่ายอื่นสามารถขายได้ด้วย
นอกจากหน้าตาแล้วอีกสิ่งที่ทำให้เบลดแตกต่างจากออริสคือ การหันมาวางเครื่องยนต์ 2AZ-FE ของคัมรี่ ซึ่งเป็นบล็อก 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,400 ซีซี VVT-i แทนที่จะวางเครื่องยนต์ 1,500 และ 1,800 ซีซีเหมือนกับออริส ซึ่งกำลังสูงสุดที่ได้อยู่ที่ 167 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.8 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องแบบ Super CVT-i ซึ่งมีการล็อคอัตราทดเอาไว้ 7 จังหวะสำหรับให้คนที่ชอบเลือกเล่นเกียร์เองได้ใช้งาน
สำหรับค่าตัวของเบลดเพิ่มขึ้นจากเดิมพอสมควรเหมือนกันจากเดิมที่ออริส 1,500 และ 1,800 ซีซีมีราคาอยู่ที่ 1.6-2.1 ล้านเยน หรือ 496,000-651,000 บาท แต่สำหรับเบลดขยับขึ้นมาเป็น 2,247,000-2,772,000 เยน หรือ 696,000-859,000 บาท และโตโยต้าตั้งเป้ายอดขายต่อเดือนเอาไว้ที่ 3,000 คัน โดยจะมีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนตลาดกลุ่มอื่นยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่าจะมีขายหรือไม่
เพราะจะว่าไปแล้ว แฮทช์แบ็กไซส์คอมแพ็กต์ชื่อใหม่อย่างเบลดของโตโยต้า คือ กลยุทธ์ง่ายๆ ในการนำรถยนต์ที่มีอยู่แล้วในตลาดมาปรับนิดโน่นหน่อย พร้อมกับพลิกบทบาทเพื่อหันไปจับตลาดลูกค้าอีกกลุ่มที่อาจจะอยากได้รถยนต์ไซส์เล็กแต่สมรรถนะเกินตัว ซึ่งเป็นการนำออริส หรือเวอร์ชันแฮทช์แบ็ก 5 ประตูบนพื้นฐานของโคโรลล่าใหม่มาแต่งหน้าทาปากใหม่ และวางเครื่องยนต์ 2,400 ซีซีของคัมรี่
เบลดคือคันเดียวกับออริส เพียงแต่เพื่อให้เกิดความแตกต่างและลดข้อครหาในเรื่องการเล่นอะไรง่ายเกินไป โตโยต้าก็เลยออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ โดยเฉพาะด้านหน้าลงทุนเปลี่ยนทั้งฝากระโปรงหน้า กระจังหน้า กันชนหน้า และไฟหน้าทรงใหม่เพื่อให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มาพร้อมกับไฟท้ายลายใหม่และกันชนท้ายที่ดูสปอร์ตขึ้น ส่วนรายละเอียดภายในใช้ชิ้นส่วนหลักเหมือนเดิม แต่ตกแต่งเพิ่มความหรู และเปลี่ยนพวงมาลัยมาเป็นแบบ 4 ก้านคล้ายกับของคัมรี่ใหม่
เหตุผลในการทำลักษณะนี้มีการคาดเดาออกมาได้ 2 ประเด็นคือ การพลิกบทบาทของตัวรถจากเดิมที่ออริสเป็นรถยนต์สำหรับลูกค้าวัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนมาสู่เบลดที่หันมาจับลูกค้าที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าโดยพื้นฐานทางวิศวกรรมแล้วจะเป็นคันเดียวกัน แต่จากการตกแต่งที่หรูหราขึ้นและเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ที่มีความจุเยอะขึ้น ก็ทำให้สามารถกำหนดระดับตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งก็คือ จากการที่ออริสเป็นรถยนต์ที่คาดว่าจะมียอดขายสูงในญี่ปุ่นแต่ถูกผูกขาดในการทำตลาดเพียงเครือข่ายจำหน่ายเดียวคือ เน็ตส์ (Netz) ทำให้โตโยต้าต้องแก้เกมเพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายอื่นมีเอี่ยวในการทำตลาดด้วย กับการเปิดตัวเวอร์ชันนี้ออกมาเพื่อให้เครือข่ายจำหน่ายอย่างโตโยต้าและโตโยเพ็ตรับไปขาย
กลยุทธ์นี้ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ดังๆ หลายรุ่นในญี่ปุ่น และในโคโรลล่า แฮทช์แบ็กรุ่นที่แล้วก็มีทั้งเวอร์ชันรังซ์ (Runx) และอัลเล็กซ์ (Allex) ทำตลาด ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นรถยนต์คันเดียวกัน แต่มีรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย หรืออย่างแอคคอร์ด 2 รุ่นที่แล้วในญี่ปุ่นที่เปิดตัวเมื่อปี 1997 ก็มีทั้งฮอนด้า แอคคอร์ด และอีกชื่อหนึ่งคือทอร์นีโอทำตลาด เพื่อเป็นการกระจายให้เครือข่ายจำหน่ายอื่นสามารถขายได้ด้วย
นอกจากหน้าตาแล้วอีกสิ่งที่ทำให้เบลดแตกต่างจากออริสคือ การหันมาวางเครื่องยนต์ 2AZ-FE ของคัมรี่ ซึ่งเป็นบล็อก 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,400 ซีซี VVT-i แทนที่จะวางเครื่องยนต์ 1,500 และ 1,800 ซีซีเหมือนกับออริส ซึ่งกำลังสูงสุดที่ได้อยู่ที่ 167 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.8 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องแบบ Super CVT-i ซึ่งมีการล็อคอัตราทดเอาไว้ 7 จังหวะสำหรับให้คนที่ชอบเลือกเล่นเกียร์เองได้ใช้งาน
สำหรับค่าตัวของเบลดเพิ่มขึ้นจากเดิมพอสมควรเหมือนกันจากเดิมที่ออริส 1,500 และ 1,800 ซีซีมีราคาอยู่ที่ 1.6-2.1 ล้านเยน หรือ 496,000-651,000 บาท แต่สำหรับเบลดขยับขึ้นมาเป็น 2,247,000-2,772,000 เยน หรือ 696,000-859,000 บาท และโตโยต้าตั้งเป้ายอดขายต่อเดือนเอาไว้ที่ 3,000 คัน โดยจะมีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนตลาดกลุ่มอื่นยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่าจะมีขายหรือไม่
