ข่าวในประเทศ - บี-ควิก เตรียมโกอินเตอร์ลุยตลาดมาเลเซียกลางปีหน้า หลังเปลี่ยนพันธมิตรใหม่เป็นมารูเบนิ พร้อมลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านบาทขยาย 30 สาขาใน 3 ปี มั่นใจได้เปรียบในด้านบริการครบวงจร เผยผลประกอบการปี 49 โตสวนกระแสตลาดรวม ตั้งเป้าปีหน้าขยายอีก 10 สาขาหวังโตอีก 30 %
นายเฮงก์ เจ คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์บริการรถยนต์บี-ควิก กล่าวว่า ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัท มารูเบนิ จำกัด ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบี-ควิก โดยเข้ามาถือหุ้นแทนในส่วนของบริษัท Thai Strategic Capital จำกัด และ Prudential เนื่องจากบริษัทมีแผนจะลงทุนในระยะยาวโดยการขยายตลาดไปยังต่างประเทศซึ่งจะเริ่มที่ภูมิภาคเอเซียก่อน แต่ทางผู้ถือหุ้นรายเดิมยังไม่มีทีท่าเห็นด้วยจึงได้มีนโยบายที่จะหาผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่จะมาลงทุน

"ทางบริษัทไม่ต้องการให้บี-ควิกผูกขาดกับบริษัทใดเพียงที่เดียว เพราะจะทำให้ขาดอิสระในการดำเนินงานซึ่งที่ผ่านมาเราก็คิดว่ามีความพร้อมที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และมารูเบนิเป็นบริษัทกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายในหลายประเทศทั่วโลกซึ่งจะช่วยให้แผนการขยายสาขาในตลาดเอเซียของบี-ควิก สามารถดำเนินงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการเข้าร่วมหุ้นครั้งนี้จะไม่กระทบต่อการบริหารการปฏิบัติงานและแนวนโยบายของบริษัทแต่อย่างใดเพราะสิทธิ์ในการบริหารทั้งหมดจะอยู่ที่บี-ควิก"
สำหรับการขยายสาขาไปยังประเทศมาเลเซียนั้นนายเฮงก์กล่าวว่า มารูเบนิจะช่วยในเรื่องของสัดส่วนการถือหุ้นในตลาดต่างประเทศเพราะมารูเบนิมีสาขาอยู่ในมาเลเซียจึงทำให้ได้เปรียบในหลายด้านทั้งยังช่วยเสริมในด้านของเงินทุนด้วย ซึ่งในขณะนี้ได้มีการวางแผนในเรื่องนโยบายอยู่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายนนี้ และจะเริ่มดำเนินการขยายสาขาในมาเลเซียได้ช่วงเดือนกรกฎาคม โดยใน 3 ปีแรกจะทำทั้งหมด 30 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 15-17 ล้านบาทต่อสาขา
"จะเห็นว่าในมาเลเซียธุรกิจนี้ไม่มีคู่แข่งที่แท้จริงโดยตรง เพราะในศูนย์บริการประกอบด้วยบริการหลายกลุ่ม ถ้าจะวัดกันต้องแยกออกเป็นกลุ่ม เช่น บริการยาง น้ำมันเครื่อง ผ้าเบรก เป็นต้น ดังนั้นทำให้หาคู่แข่งโดยตรง และเจ้าตลาดที่แท้จริงค่อนข้างยาก ซึ่งบี-ควิกจึงได้เอาจุดเด่นของศูนย์บริการเราที่มีการจำหน่ายยางหลากหลายแบรนด์ รวมถึงผ้าเบรก แอร์ แบตเตอรี่ และความชำนาญทางด้านช่วงล่าง อีกทั้งในมาเลเซียเป็นตลาดที่มีสัดส่วนรถยนต์นั่งกว่า 95% ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา"
นางสาวบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวถึงภาพรวมของตลาดศูนย์บริการรถยนต์ว่าตลาดในนี้ไม่กระเตื้องขึ้นตามที่ได้ประเมินไว้แต่แรก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทำให้ผู้ใช้บริการชะลอการใช่จ่ายต่างๆ โดยในปี 2549 บี-ควิกมีคาดว่าจะมียอดจำหน่ายรวมที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในปีนี้มีการเติบโตกว่า 30% ซึ่งสวนทางกับตลาดรวมที่ตกลง 5%
ทางด้านแผนการตลาดในปี 2550 นั้นจะมีการลงทุนเพิ่มในส่วนของการขยายอีก 10 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 5 สาขา และต่างจังหวัดในภาคตะวันออกอีก 5 สาขา จากปัจจุบันมีทั้งหมด 45 สาขาด้วยกัน ซึ่งจะทำให้มีการเติบโตขึ้นอีก 10-30 % โดยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดยางรถยนต์ในกรุงเทพฯประมาณ 15% และมียอดขายไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
นายเฮงก์ เจ คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์บริการรถยนต์บี-ควิก กล่าวว่า ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัท มารูเบนิ จำกัด ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบี-ควิก โดยเข้ามาถือหุ้นแทนในส่วนของบริษัท Thai Strategic Capital จำกัด และ Prudential เนื่องจากบริษัทมีแผนจะลงทุนในระยะยาวโดยการขยายตลาดไปยังต่างประเทศซึ่งจะเริ่มที่ภูมิภาคเอเซียก่อน แต่ทางผู้ถือหุ้นรายเดิมยังไม่มีทีท่าเห็นด้วยจึงได้มีนโยบายที่จะหาผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่จะมาลงทุน
"ทางบริษัทไม่ต้องการให้บี-ควิกผูกขาดกับบริษัทใดเพียงที่เดียว เพราะจะทำให้ขาดอิสระในการดำเนินงานซึ่งที่ผ่านมาเราก็คิดว่ามีความพร้อมที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และมารูเบนิเป็นบริษัทกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายในหลายประเทศทั่วโลกซึ่งจะช่วยให้แผนการขยายสาขาในตลาดเอเซียของบี-ควิก สามารถดำเนินงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการเข้าร่วมหุ้นครั้งนี้จะไม่กระทบต่อการบริหารการปฏิบัติงานและแนวนโยบายของบริษัทแต่อย่างใดเพราะสิทธิ์ในการบริหารทั้งหมดจะอยู่ที่บี-ควิก"
สำหรับการขยายสาขาไปยังประเทศมาเลเซียนั้นนายเฮงก์กล่าวว่า มารูเบนิจะช่วยในเรื่องของสัดส่วนการถือหุ้นในตลาดต่างประเทศเพราะมารูเบนิมีสาขาอยู่ในมาเลเซียจึงทำให้ได้เปรียบในหลายด้านทั้งยังช่วยเสริมในด้านของเงินทุนด้วย ซึ่งในขณะนี้ได้มีการวางแผนในเรื่องนโยบายอยู่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายนนี้ และจะเริ่มดำเนินการขยายสาขาในมาเลเซียได้ช่วงเดือนกรกฎาคม โดยใน 3 ปีแรกจะทำทั้งหมด 30 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 15-17 ล้านบาทต่อสาขา
"จะเห็นว่าในมาเลเซียธุรกิจนี้ไม่มีคู่แข่งที่แท้จริงโดยตรง เพราะในศูนย์บริการประกอบด้วยบริการหลายกลุ่ม ถ้าจะวัดกันต้องแยกออกเป็นกลุ่ม เช่น บริการยาง น้ำมันเครื่อง ผ้าเบรก เป็นต้น ดังนั้นทำให้หาคู่แข่งโดยตรง และเจ้าตลาดที่แท้จริงค่อนข้างยาก ซึ่งบี-ควิกจึงได้เอาจุดเด่นของศูนย์บริการเราที่มีการจำหน่ายยางหลากหลายแบรนด์ รวมถึงผ้าเบรก แอร์ แบตเตอรี่ และความชำนาญทางด้านช่วงล่าง อีกทั้งในมาเลเซียเป็นตลาดที่มีสัดส่วนรถยนต์นั่งกว่า 95% ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา"
นางสาวบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวถึงภาพรวมของตลาดศูนย์บริการรถยนต์ว่าตลาดในนี้ไม่กระเตื้องขึ้นตามที่ได้ประเมินไว้แต่แรก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทำให้ผู้ใช้บริการชะลอการใช่จ่ายต่างๆ โดยในปี 2549 บี-ควิกมีคาดว่าจะมียอดจำหน่ายรวมที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในปีนี้มีการเติบโตกว่า 30% ซึ่งสวนทางกับตลาดรวมที่ตกลง 5%
ทางด้านแผนการตลาดในปี 2550 นั้นจะมีการลงทุนเพิ่มในส่วนของการขยายอีก 10 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 5 สาขา และต่างจังหวัดในภาคตะวันออกอีก 5 สาขา จากปัจจุบันมีทั้งหมด 45 สาขาด้วยกัน ซึ่งจะทำให้มีการเติบโตขึ้นอีก 10-30 % โดยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดยางรถยนต์ในกรุงเทพฯประมาณ 15% และมียอดขายไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา