ข่าวในประเทศ - ร้อนแรงสวนสภาวะขาลง! ตลาดรถหรูหรา-สปอร์ตแข่งขันกันดุเดือด แห่เปิดตัวรถรุ่นใหม่ต่อเนื่อง เฉพาะอาทิตย์ที่ผ่านมามีรถใหม่เผยโฉมถึง 3 ยี่ห้อ ปอร์เช่ บ็อกซ์เตอร์-เคย์แมนใหม่, โตโยต้า คัมรี่ เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร และสปอร์ตคูเป้ บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M ผ่านมาถึงสัปดาห์นี้ดุเดือดไม่น้อยหน้า เป็นการท้าชนกันระหว่างเจ้าตลาด “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กับแบรนด์หรูแดนปลาดิบ “เล็กซัส” โดยฝ่ายแรกส่งเอส-คลาสเครื่องยนต์ดีเซล “S320CDi” รุ่นแรกของโลกที่ประกอบนอกเยอรมนีบุกตลาดไทย เคาะราคาที่ 7.29 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังถือโอกาสจัดงานเทกระจาดรถทุกรุ่นทุกคลาส ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ที่สวนลุมไนท์ บาร์ซาร์ ขณะที่ฝ่ายหลังเข็น “LS460” โฉมใหม่ ทั้งเวอร์ชั่นปกติและรุ่นฐานล้อยาว ด้วยจุดเด่นเหนือระดับรถหรูทั่วไป เคาะราคาเริ่มต้น 9.5 -11.5ล้านบาท งานนี้กระเป๋าบรรดาเศรษฐีไทยแบนแน่!!

ตลาดรถยนต์หรูหรา และรถสปอร์ตในไทย เริ่มประสบปัญหายอดขายหัวทิ่มดินมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และมาออกอาการชัดเจนมากที่สุดในปีนี้ แต่สภาวะการแข่งขันกลับร้อนแรงสวนตลาด เพราะต่างต้องแย่งชิงรักษายอดขายให้ได้มากที่สุด ซึ่งนอกจากแคมเปญและกิจกรรมส่งเสริมการขายแล้ว การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับสภาวะ และความต้องการของผู้บริโภคก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวของ BMW 520D ซึ่งถือเป็นรถยนต์ดีเซลรุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูในไทย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นค่ายใบพัดสีฟ้า พยายามจะปฏิเสธการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลในไทยมาตลอด ปล่อยให้คู่แข่งสำคัญเมอร์เซเดส-เบนซ์ลุยไปฝ่ายเดียว จนกระทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด จนทำให้พฤติกรรมการบริโภคของบรรดาเศรษฐีไทยต้องเปลี่ยนไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
เหตุนี้ค่ายรถหรูหราต่างทยอยนำรถเครื่องยนต์ดีเซล แนะนำสู่ตลาดไทยเป็นระยะ และในที่สุดบีเอ็มดับเบิลยูก็ทนกระแสไม่ไหวเปิดตัว BMW 520D ไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ต่อจากนั้นเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการบุกตลาดอีกระลอกของค่าย “ออดี้” เมื่อส่งรถยนต์ใหม่เสริมทัพอีก 2 รุ่น ได้แก่ Audi 3.0 TDI Quattro ซึ่งเป็นเก๋งหรูเครื่องยนต์ดีเซลโมเดลที่สองของออดี้ในไทย หลังจากประเดิมไปแล้วกับรุ่น A4 2.0 TDI และอีกรุ่นเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับ Audi A6 ด้วยเครื่องยนต์ที่เล็กลง กับขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งใช้เทคโนโลยี TFSI อันโด่งดังของออดี้ โดยทั้งสองรุ่นใหม่ที่เปิดตัวล้วนมีจุดประสงค์เน้นความประหยัดเป็นหลัก
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวรถยนต์หรูหรา และรถสปอร์ตในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 ยี่ห้อ เริ่มจากค่ายเอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ “ปอร์เช่” ในไทย ได้นำเอา “ระบบวาล์วแปรผัน VarioCam Plus” มาใส่เข้าไปให้กับรุ่น “บ็อกสเตอร์” เพื่อควบคุมจังหวะการเปิดปิดของวาล์วไอดี ซึ่งจะช่วยให้เครื่องยนต์ 2.7 ลิตร มีพละกำลังแรงเพิ่มขึ้นเป็น 245 แรงม้า และประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นเดิม 0.3 ลิตร ต่อ100 กม. โดยเคาะราคา 7.6 ล้านบาท และพร้อมกันนี้ค่ายเอเอเอสฯ ยังได้ส่งรุ่น “เคย์แมน” เครื่องยนต์เล็กลง 2.7 ลิตร 245 แรงม้า มาเสริมตลาดอีกรุ่นในราคา 8.5 ล้านบาท หลังจากเปิดตัวรุ่นพี่เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 295 แรงม้า ไปเมื่อปลายปี 2548 ที่ผ่านมา

ต่อจากนั้นเพียงวันเดียว ถึงคราวของ “โตโยต้า” ยักษ์ใหญ่ในตลาดรถยนต์ไทย เสริมทัพให้กับเก๋งขนาดกลาง “คัมรี่” ใหม่ ด้วยการแนะนำเครื่องยนต์ใหม่ V6 Dual VVT-i 3.5 ลิตร กำลังสูงสุด 272 แรงม้า (รุ่น 3.5Q ) เกียร์อัตโนมัติซีเควนเชียล 6 สปีด บุกตลาดในราคา 2.85 ล้านบาท หวังยกระดับขยายฐานลูกค้าของคัมรี่ ที่เดิมมีเฉพาะเครื่องยนต์ 2.4 และ 2.0 ลิตร
ก่อนจะมาปิดท้ายสัปดาห์ที่แล้ว กับค่ายใบพัดสีฟ้าอีกระลอก ด้วย BMW Z4M Coupe ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ตระกูล M แบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 343 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 6 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม. ได้ภายในเวลา 5 วินาที
โดยรูปลักษณ์ภายนอกเช่นเดียวกับ Z4 2.5 ที่ทำตลาดในปัจจุบัน โดยติดอักษรตัว “M” ไว้ด้านท้ายให้เห็นความแตกต่างชัดเจน และได้เสริมความเด่นด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางล้อหน้าขนาด 225/45 ZR18 และ 255/45 ZR18 สำหรับล้อหลัง ท่อไอเสียโครเมียม 2 ท่อ และไฟหน้าซีนอน ส่วนภายในอุปกรณ์ตกแต่งด้วยลาย เอ็ม เบาะนั่งหนังแท้พร้อมเม็มโมรี่ พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น เครื่องเสียงวิทยุซีดี 6 แผ่น บูลทูธ จอแสดงผลคอมพิวเตอร์ออนบอร์ด โดยสนนราคาค่าตัวของ BMW Z4M Coupe อยู่ที่ 6.9 ล้านบาท พร้อมกับโควต้าจำหน่ายประมาณ 20 คันต่อปี สำหรับรถในตระกูลเอ็มทั้งหมด
ขณะที่คู่แข่งสำคัญ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” หลังจากปล่อยให้บีเอ็มดับเบิลยูชิงลูกค้าไปอยู่ฝ่ายเดียว ในที่สุดก็ถึงคราวเขย่าตลาดของผู้นำบ้าง โดยเดมเลอร์ไครสเลอร์ ประเทศไทย เตรียมส่ง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ S320 CDI” จากโรงงานประกอบในไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลในตระกูล S-Class คันแรกของโลก ที่ผลิตนอกประเทศเยอรมนี เพื่อจับบรรดาเศรษฐีกระเป๋าหนักในไทย

S320 CDI วางเครื่องยนต์ดีเซล วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 540 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 7.5 วินาที โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 15.15 – 15.63 กม./ลิตร (นอกเมือง)
แน่นอนระดับ S-Class ย่อมพกพาสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัยมาให้ครบครัน อาทิ ระบบความปลอดภัย PRO-SAFE, ระบบช่วยเบรก (BAS), โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มเติม อาทิ ระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน (Night View Assist), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light) เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบ Multicontour พร้อมระบบนวดอัตโนมัติ และภาครับสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งทั้งหมดมาพร้อมกับราคา 7.29 ล้านบาท
นอกจากนี้เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ เดมเลอร์ไครสเลอร์ ประเทศไทย จึงจัดงาน “Star Fest” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สตาร์ กาแล็คซี่” ซึ่งไม่เพียงไฮไลต์สำคัญจะเป็น S320 CDI CKD เท่านั้น ยังมีรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นที่ทำตลาดในไทย เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสและเลือกช็อปอย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ยังรับโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ ผ่อนรายเดือน 1% ฟรีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 และอัตราดอกเบี้ย 1% สำหรับผู้ซื้อ E-Class ยังมีโอกาสลุ้นโชคอัพเกรดรถเป็น เอส-คลาสได้อีกด้วย โดยงานจะจัดขึ้น ณ บีอีซี เทโรฮอลล์ สวนลุมไนท์ บาร์ซาร์ ตั้งแต่ 11.00 -21.00 น. ระหว่างวันที่ 9-12 พฤศจิกายนนี้
แต่ก่อนที่จะไปยลโลกยานยนต์ ของค่ายดาวสามแฉกในช่วงสุดสัปดาห์นี้ “เล็กซัส” แบรนด์รถหรูในเครือโตโยต้า ได้ชิงตัดหน้าเปิดตัวเก๋งหรูโมเดลใหม่ “เล็กซัส LS460” และ “LS460L” มาท้าชนกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์7 ไปเมื่อวันก่อน (7 พ.ย.)
การเปิดตัวโมเดลใหม่ของ เล็กซัส LS 460 ที่เป็นรุ่นปกติ กับรุ่นฐานล้อยาว LS 460L ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ที่ 4 ของรถยนต์ตระกูลนี้ โดยใช้รหัสตัวถัง UF40 นับต่อจากรหัสตัวถังของ โตโยต้า เซลลิเออร์ (เวอร์ชั่นทำตลาดในญี่ปุ่น)ไปเลย แต่คราวนี้ถือเป็นครั้งแรกของ LS ที่มีทางเลือกของรุ่นฐานล้อยาวให้เลือกใช้
โดยรูปลักษณ์ภายนอก ได้รับการออกแบบยึดสไตล์แนวคิด L-Finess ซึ่งมาจากต้นแบบ LF –Sh ที่เปิดตัวเมื่อปี 2005 ด้วยการเน้นความหรูหราที่แฝงด้วยภาพลักษณ์ของความสปอร์ต ขณะที่ภายในห้องโดยสามารถตอบสนองความภูมิฐาน และความสะดวกสบายครบครัน สู้กับรถหรูสายพันธุ์เยอรมนีได้สบาย

ส่วนเครื่องยนต์ที่ติดตั้งมากับ LS 460 เป็นบล็อกใหม่ V8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4.6 ลิตร 380 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 51.1 กก.-ม. เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.7 วินาที ถือว่าฉับไวมากเมื่อต้องแบกน้ำหนักตัวถึง1,810 กก. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในเมือง หรือบนทางด่วนเพียงประมาณ 9 กม./ลิตร
นับว่าเครื่องยนต์ของ LS ใหม่โดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่า อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ S500 ขนาด 5.5 ลิตร ที่มีกำลัง 388 แรงม้า ถือว่ากินกันไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เหนือกว่า BMW 750 ที่วางเครื่องยนต์ 4.8 ลิตร มีกำลังเพียง 367 แรงม้าเท่านั้น โดยสนนราคาทั้งสองรุ่นทะลุเกิน 14 ล้านบาท ขณะที่ LS460 ราคา 9,550,000 ล้านบาท และรุ่นฐานล้อยาวเคาะราคา 11,550,000 ล้านบาท
ที่สำคัญเล็กซัส LS ใหม่ ยังได้สร้างมาตรฐานใหม่กับรถยนต์หรูหราอีกครั้ง เพราะ LS460 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลก ที่มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ โดยใช้เทคโนโลยีระบบไฟฟ้าใหม่ล่าสุด ควบคุมการเลือกระดับเกียร์ และแรงบิดของเครื่องยนต์ ช่วยเพิ่มสมรรถนะและประหยัดเชื้อเพลิง
จากสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดรถหรูหรา ตลอดช่วงที่ผ่านมา 2-3 เดือนที่ผ่านมา และต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนี้ แม้สถานการณ์ยอดขายรถหรูจะเข้าสู่สภาวะวิกฤติ แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันกลับร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง! ซึ่งเป็นผลมาจากแต่ละยี่ห้อต่างลุกขึ้นมา ป้องกันยอดขายของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับบรรดาเศรษฐีไทยจะกล้าฝ่าสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตัดสินใจควักเงินกว่า 2 ล้านบาท ไปจนถึงหลักกว่าสิบล้านบาทออกจากกระเป๋าหรือไม่?
ตลาดรถยนต์หรูหรา และรถสปอร์ตในไทย เริ่มประสบปัญหายอดขายหัวทิ่มดินมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และมาออกอาการชัดเจนมากที่สุดในปีนี้ แต่สภาวะการแข่งขันกลับร้อนแรงสวนตลาด เพราะต่างต้องแย่งชิงรักษายอดขายให้ได้มากที่สุด ซึ่งนอกจากแคมเปญและกิจกรรมส่งเสริมการขายแล้ว การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับสภาวะ และความต้องการของผู้บริโภคก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวของ BMW 520D ซึ่งถือเป็นรถยนต์ดีเซลรุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูในไทย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นค่ายใบพัดสีฟ้า พยายามจะปฏิเสธการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลในไทยมาตลอด ปล่อยให้คู่แข่งสำคัญเมอร์เซเดส-เบนซ์ลุยไปฝ่ายเดียว จนกระทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด จนทำให้พฤติกรรมการบริโภคของบรรดาเศรษฐีไทยต้องเปลี่ยนไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
เหตุนี้ค่ายรถหรูหราต่างทยอยนำรถเครื่องยนต์ดีเซล แนะนำสู่ตลาดไทยเป็นระยะ และในที่สุดบีเอ็มดับเบิลยูก็ทนกระแสไม่ไหวเปิดตัว BMW 520D ไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ต่อจากนั้นเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการบุกตลาดอีกระลอกของค่าย “ออดี้” เมื่อส่งรถยนต์ใหม่เสริมทัพอีก 2 รุ่น ได้แก่ Audi 3.0 TDI Quattro ซึ่งเป็นเก๋งหรูเครื่องยนต์ดีเซลโมเดลที่สองของออดี้ในไทย หลังจากประเดิมไปแล้วกับรุ่น A4 2.0 TDI และอีกรุ่นเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับ Audi A6 ด้วยเครื่องยนต์ที่เล็กลง กับขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งใช้เทคโนโลยี TFSI อันโด่งดังของออดี้ โดยทั้งสองรุ่นใหม่ที่เปิดตัวล้วนมีจุดประสงค์เน้นความประหยัดเป็นหลัก
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวรถยนต์หรูหรา และรถสปอร์ตในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 ยี่ห้อ เริ่มจากค่ายเอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ “ปอร์เช่” ในไทย ได้นำเอา “ระบบวาล์วแปรผัน VarioCam Plus” มาใส่เข้าไปให้กับรุ่น “บ็อกสเตอร์” เพื่อควบคุมจังหวะการเปิดปิดของวาล์วไอดี ซึ่งจะช่วยให้เครื่องยนต์ 2.7 ลิตร มีพละกำลังแรงเพิ่มขึ้นเป็น 245 แรงม้า และประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นเดิม 0.3 ลิตร ต่อ100 กม. โดยเคาะราคา 7.6 ล้านบาท และพร้อมกันนี้ค่ายเอเอเอสฯ ยังได้ส่งรุ่น “เคย์แมน” เครื่องยนต์เล็กลง 2.7 ลิตร 245 แรงม้า มาเสริมตลาดอีกรุ่นในราคา 8.5 ล้านบาท หลังจากเปิดตัวรุ่นพี่เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 295 แรงม้า ไปเมื่อปลายปี 2548 ที่ผ่านมา
ต่อจากนั้นเพียงวันเดียว ถึงคราวของ “โตโยต้า” ยักษ์ใหญ่ในตลาดรถยนต์ไทย เสริมทัพให้กับเก๋งขนาดกลาง “คัมรี่” ใหม่ ด้วยการแนะนำเครื่องยนต์ใหม่ V6 Dual VVT-i 3.5 ลิตร กำลังสูงสุด 272 แรงม้า (รุ่น 3.5Q ) เกียร์อัตโนมัติซีเควนเชียล 6 สปีด บุกตลาดในราคา 2.85 ล้านบาท หวังยกระดับขยายฐานลูกค้าของคัมรี่ ที่เดิมมีเฉพาะเครื่องยนต์ 2.4 และ 2.0 ลิตร
ก่อนจะมาปิดท้ายสัปดาห์ที่แล้ว กับค่ายใบพัดสีฟ้าอีกระลอก ด้วย BMW Z4M Coupe ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ตระกูล M แบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 343 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 6 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม. ได้ภายในเวลา 5 วินาที
โดยรูปลักษณ์ภายนอกเช่นเดียวกับ Z4 2.5 ที่ทำตลาดในปัจจุบัน โดยติดอักษรตัว “M” ไว้ด้านท้ายให้เห็นความแตกต่างชัดเจน และได้เสริมความเด่นด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางล้อหน้าขนาด 225/45 ZR18 และ 255/45 ZR18 สำหรับล้อหลัง ท่อไอเสียโครเมียม 2 ท่อ และไฟหน้าซีนอน ส่วนภายในอุปกรณ์ตกแต่งด้วยลาย เอ็ม เบาะนั่งหนังแท้พร้อมเม็มโมรี่ พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น เครื่องเสียงวิทยุซีดี 6 แผ่น บูลทูธ จอแสดงผลคอมพิวเตอร์ออนบอร์ด โดยสนนราคาค่าตัวของ BMW Z4M Coupe อยู่ที่ 6.9 ล้านบาท พร้อมกับโควต้าจำหน่ายประมาณ 20 คันต่อปี สำหรับรถในตระกูลเอ็มทั้งหมด
ขณะที่คู่แข่งสำคัญ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” หลังจากปล่อยให้บีเอ็มดับเบิลยูชิงลูกค้าไปอยู่ฝ่ายเดียว ในที่สุดก็ถึงคราวเขย่าตลาดของผู้นำบ้าง โดยเดมเลอร์ไครสเลอร์ ประเทศไทย เตรียมส่ง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ S320 CDI” จากโรงงานประกอบในไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลในตระกูล S-Class คันแรกของโลก ที่ผลิตนอกประเทศเยอรมนี เพื่อจับบรรดาเศรษฐีกระเป๋าหนักในไทย
S320 CDI วางเครื่องยนต์ดีเซล วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 540 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 7.5 วินาที โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 15.15 – 15.63 กม./ลิตร (นอกเมือง)
แน่นอนระดับ S-Class ย่อมพกพาสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัยมาให้ครบครัน อาทิ ระบบความปลอดภัย PRO-SAFE, ระบบช่วยเบรก (BAS), โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มเติม อาทิ ระบบช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน (Night View Assist), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light) เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบ Multicontour พร้อมระบบนวดอัตโนมัติ และภาครับสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งทั้งหมดมาพร้อมกับราคา 7.29 ล้านบาท
นอกจากนี้เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ เดมเลอร์ไครสเลอร์ ประเทศไทย จึงจัดงาน “Star Fest” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สตาร์ กาแล็คซี่” ซึ่งไม่เพียงไฮไลต์สำคัญจะเป็น S320 CDI CKD เท่านั้น ยังมีรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นที่ทำตลาดในไทย เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสและเลือกช็อปอย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ยังรับโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ ผ่อนรายเดือน 1% ฟรีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 และอัตราดอกเบี้ย 1% สำหรับผู้ซื้อ E-Class ยังมีโอกาสลุ้นโชคอัพเกรดรถเป็น เอส-คลาสได้อีกด้วย โดยงานจะจัดขึ้น ณ บีอีซี เทโรฮอลล์ สวนลุมไนท์ บาร์ซาร์ ตั้งแต่ 11.00 -21.00 น. ระหว่างวันที่ 9-12 พฤศจิกายนนี้
แต่ก่อนที่จะไปยลโลกยานยนต์ ของค่ายดาวสามแฉกในช่วงสุดสัปดาห์นี้ “เล็กซัส” แบรนด์รถหรูในเครือโตโยต้า ได้ชิงตัดหน้าเปิดตัวเก๋งหรูโมเดลใหม่ “เล็กซัส LS460” และ “LS460L” มาท้าชนกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์7 ไปเมื่อวันก่อน (7 พ.ย.)
การเปิดตัวโมเดลใหม่ของ เล็กซัส LS 460 ที่เป็นรุ่นปกติ กับรุ่นฐานล้อยาว LS 460L ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ที่ 4 ของรถยนต์ตระกูลนี้ โดยใช้รหัสตัวถัง UF40 นับต่อจากรหัสตัวถังของ โตโยต้า เซลลิเออร์ (เวอร์ชั่นทำตลาดในญี่ปุ่น)ไปเลย แต่คราวนี้ถือเป็นครั้งแรกของ LS ที่มีทางเลือกของรุ่นฐานล้อยาวให้เลือกใช้
โดยรูปลักษณ์ภายนอก ได้รับการออกแบบยึดสไตล์แนวคิด L-Finess ซึ่งมาจากต้นแบบ LF –Sh ที่เปิดตัวเมื่อปี 2005 ด้วยการเน้นความหรูหราที่แฝงด้วยภาพลักษณ์ของความสปอร์ต ขณะที่ภายในห้องโดยสามารถตอบสนองความภูมิฐาน และความสะดวกสบายครบครัน สู้กับรถหรูสายพันธุ์เยอรมนีได้สบาย
ส่วนเครื่องยนต์ที่ติดตั้งมากับ LS 460 เป็นบล็อกใหม่ V8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4.6 ลิตร 380 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 51.1 กก.-ม. เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.7 วินาที ถือว่าฉับไวมากเมื่อต้องแบกน้ำหนักตัวถึง1,810 กก. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในเมือง หรือบนทางด่วนเพียงประมาณ 9 กม./ลิตร
นับว่าเครื่องยนต์ของ LS ใหม่โดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่า อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ S500 ขนาด 5.5 ลิตร ที่มีกำลัง 388 แรงม้า ถือว่ากินกันไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เหนือกว่า BMW 750 ที่วางเครื่องยนต์ 4.8 ลิตร มีกำลังเพียง 367 แรงม้าเท่านั้น โดยสนนราคาทั้งสองรุ่นทะลุเกิน 14 ล้านบาท ขณะที่ LS460 ราคา 9,550,000 ล้านบาท และรุ่นฐานล้อยาวเคาะราคา 11,550,000 ล้านบาท
ที่สำคัญเล็กซัส LS ใหม่ ยังได้สร้างมาตรฐานใหม่กับรถยนต์หรูหราอีกครั้ง เพราะ LS460 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลก ที่มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ โดยใช้เทคโนโลยีระบบไฟฟ้าใหม่ล่าสุด ควบคุมการเลือกระดับเกียร์ และแรงบิดของเครื่องยนต์ ช่วยเพิ่มสมรรถนะและประหยัดเชื้อเพลิง
จากสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดรถหรูหรา ตลอดช่วงที่ผ่านมา 2-3 เดือนที่ผ่านมา และต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนี้ แม้สถานการณ์ยอดขายรถหรูจะเข้าสู่สภาวะวิกฤติ แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันกลับร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง! ซึ่งเป็นผลมาจากแต่ละยี่ห้อต่างลุกขึ้นมา ป้องกันยอดขายของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับบรรดาเศรษฐีไทยจะกล้าฝ่าสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตัดสินใจควักเงินกว่า 2 ล้านบาท ไปจนถึงหลักกว่าสิบล้านบาทออกจากกระเป๋าหรือไม่?