พอพูดถึงรถยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ความคิดของคนส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง หรือ Fuel Cell Vehicle ซึ่งใช้ไฮโดรเจนมาทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในแผงเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าส่งเข้ามอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นทิศทางของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกให้ความสนใจ
ความจริงแล้ว รถยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่พวกเอฟซีวีเท่านั้น แต่ผู้ผลิตอย่าง บีเอ็มดับเบิลยูและมาสด้าไม่ได้เดินตามกระแสนี้ กลับหันมาสนใจการนำไฮโดรเจนมาทดแทนน้ำมันเบนซินโดยที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นตัวสร้างกำลังเหมือนกับรถยนต์ทั่วไป
โดยค่ายใบพัดสีฟ้าให้ความสนใจมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ก่อนมาเดินหน้าเต็มตัวในช่วงทศวรรษที่ 1990 ภายใต้ โครงการ Clean Energy
ไฮโดรเจน เซเว่น (Hydrogen 7) ถือเป็นการเริ่มอย่างจริงจังกับการส่งผลผลิตของโครงการ Clean Energy ออกมารองรับความต้องการของลูกค้าในตลาด เพราะที่ผ่านมา แม้ว่าบีเอ็มดับเบิลยูจะพัฒนารถยนต์หรูซีรีส์ 7 (รุ่น E38 และ E66/65) ที่ใช้เครื่องยนต์วี12 และวี8 ซึ่งสามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงได้ แต่ก็จำกัดตัวเองอยู่แค่การแล่นในสนามบินนานาชาติเมืองมิวนิก หรือหน่วยงานของราชการ ในเยอรมนีเท่านั้น
สำหรับคราวนี้ บีเอ็มดับเบิลยูวางแผนส่งไฮโดรเจน เซเว่น (Hydrogen 7) ที่ใช้พื้นฐานของซีรีส์ 7 รุ่นไมเนอร์ เชนจ์ออกทำ 3 ตลาดหลักคือญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐอเมริกาในลักษณะเช่าใช้ด้วยจำนวน 100 คัน ซึ่งเหตุผลที่จำกัดตลาดอยู่แค่ 3 แห่งนี้ก็เพราะอย่างทราบกันดีว่าจำนวนสถานีบริการไฮโดรเจนยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการเติบโตของรถยนต์ทุกประเภทที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง และตลาดทั้ง 3 แห่งมีสถานีบริการไฮโดรเจนรองรับกับการใช้งานทั่วไปได้
จุดหลักของตัวรถอยู่ที่เครื่องยนต์วี12 6,000 ซีซีซึ่งได้รับการปรับแต่งให้สามารถใช้งานได้ 2 เชื้อเพลิงในลักษณะ Bi-Fuel คือ เบนซินหรือไฮโดรเจนก็ได้ โดยสมรรถนะของตัวรถถูกปรับลดลงมา อยู่ที่ 260 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 39.7 กก.-ม. มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 9.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทางบีเอ็มดับเบิลยูเปิดเผยว่าจากการที่รถยนต์รุ่นนี้เป็นแบบ Bi-Fuel ที่ใช้ได้ทั้งไฮโดรเจนและเบนซิน ทำให้มีระยะทางในการแล่นต่อเชื้อเพลิงทั้ง 2 ประเภทรวมกันอยู่ที่ 500 ไมล์ หรือ 700 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ซึ่งบล็อกใหญ่ และตัวรถก็เป็นซีดานระดับหรูหรา
สำหรับเศรษฐีไทยคงหมดโอกาสได้สัมผัส เพราะการจำกัดตลาดในการให้บริการ แถมในบ้านเราสถานีเติมไฮโดรเจนยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว