xs
xsm
sm
md
lg

“ลุค อัลฟองด์”คนอึดนรกเรียกพี่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ช่วงนี้อาจจะดูเงียบเหงาไปบ้างสำหรับ มิตซูบิชิ ประเทศไทย เพราะหลังจากบูมกระแสไทรทันไปเมื่อปีที่แล้ว ก็ยังไม่ค่อยมีอะไรออกมาให้ตื่นเต้นนัก

อย่างไรก็ดีเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา "ค่ายตราเพชร" ได้จัดกิจกรรม "Experience the Dakar Champion Day" เพื่อเสริมภาพลักษณ์ด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ต ซึ่งถือเป็นจุดยืนที่ยึดมั่นมายาวนาน

ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การเชิญ "ลุค อัลฟองด์" (Luc Alphand)แชมป์ดาการ์แรลลี่ปี 2006 มาร่วมงาน ซึ่งนอกจากจะมาร่วมทดสอบรถยนต์ Mitsubishi Racing Triton Evolution ที่นักแข่งไทยจะใช้ในรายการ ลิสบอน- ดาการ์ 2007 แล้ว ยังมาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ และเทคนิคการขับรถ ให้กับ มานะ พรศิริเชิด รวมถึงนักแข่งในสังกัดทีม Mitsubishi RALLIART Team Thailand อีกด้วย

ลุค อัลฟองด์ เป็นนักแข่งชาวฝรั่งเศส สังกัดทีม มิตซูบิชิเรปซอล แรลลี่อาร์ต ที่ควบมิตซูบิชิ ปาเจโรหมายเลข 302 พร้อมเนวิเกเตอร์คู่ใจ ชิลส์ ปิคาร์ด (Gilles Picard) ฝ่าภูมิประเทศสุดโหดกว่า 3 อาทิตย์ และทำเวลารวมดีที่สุด จนคว้าแชมป์ลิสบอน- ดาการ์ 2006 มาครองได้เป็นครั้งแรก

ดังนั้นเมื่อสบโอกาส “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ไม่รีรอที่จะคว้าตัวคนอึดนรกเรียกพี่ มาพูดคุยถึงที่มาที่ไป และความสำเร็จล่าสุด

ก่อนเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตคุณทำอะไรมาบ้าง

ก่อนเริ่มต้นชีวิตนักแข่งรถ ผมเคยเป็นนักสกีประเภทDownhill ในช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 และสามารถคว้าชัยชนะจากรายการ World cup ได้ถึง 12 ครั้ง และได้รับตำแหน่ง Champion of France ถึง 9 ครั้ง รวมทั้งแชมเปี้ยนในรายการ Pro US Tour 2 ครั้ง

แสดงว่าคุณเป็นนักสกีระดับโลกมาก่อน แล้วมันเกี่ยวเนื่องอย่างไรกับมอเตอร์สปอร์ต

เล่นสกีประเภท Downhill ก็ต้องใช้ความเร็วระดับ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่แล้ว ดังนั้นผมคิดว่าความเร็วไม่ใช่ปัญหา แต่กลับคิดว่านี่แหละเป็นสิ่งที่ผมถนัด และปรารถนาที่สุดในชีวิต รวมถึงต้องมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ซึ่งทั้งหมดสามารถนำมาใช้ได้ในกีฬามอเตอร์สปอร์ต เพียงแต่ต้องมาฝึกฝนทักษะการขับอีกนิดหน่อย

หลังจากความท้าทายของการแข่งขันสกีได้หมดไป ชีวิตหลังพวงมาลัยเป็นอย่างไรบ้าง

ผมผันตัวเองเข้ามาเป็นนักแข่งแรลลี่ครอสคันทรี่ ซึ่งในปี 2001 ได้เริ่มเข้าร่วมแข่งแรลลี่ดาการ์เป็นครั้งแรก และฤดูกาลต่อมาถึงจะชนะประเภท T1 และจบการแข่งขันเป็นอันดับที่ 7 ในประเภท overall ทั้งยังมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันเลอมังส์ 24 ชั่วโมงอีกด้วย

ปี 2003 ในรายการดาร์กาแรลลี่ ผมจบการแข่งขันด้วยอันดับ 9 ในประเภท overall จากนั้นเดือนมกราคม 2004 ผมมีโอกาสได้ร่วมทีมมิตซูบิชิ  และสามารถทำเวลาดีที่สุดของรถดีเซล พร้อมจบการแข่งขันเป็นอันดับ 4 ในประเภท overall

จากนั้นเข้าแข่งขันในดาการ์ แรลลี่ 2005 ซึ่งผมได้อันดับที่สอง และในปีนี้ผมก็ชนะรายการ FIA World Cup ที่ประเทศตูนีเซีย และ Baja Portalegre ประเทศโปรตุเกสด้วย

จนกระทั้ง ลิสบอน - ดาการ์ 2006 ที่ผ่านมา สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาครองได้สำเร็จ พร้อมกับเนวิเกเตอร์ ชิลส์ ปิคาร์ด

เล่าถึงบรรยากาศในการแข่งลิสบอน - ดาการ์ให้ฟังหน่อย

ดาการ์แรลลี่เป็นการแข่งขันที่โหดเกินคำบรรยาย เพราะส่วนใหญ่เส้นทางจะเป็นทะเลทราย ที่มีอากาศร้อน ทั้งยังต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ก้อนหิน และดินลูกรัง ซึ่งตลอดเวลากว่า 3 อาทิตย์คุณต้องอยู่ในลักษณะภูมิประเทศที่ต่างกัน และต้องแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีความช่วยเหลือใดๆ จากทีม Service จนกว่าจะสิ้นสุดในสเตจต่อไป

อย่างไรก็ตามการถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะคุณต้องขับรถวันละ 5 – 6 ชั่วโมง ทำให้ต้องมีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผม

เคล็ดลับของชัยชนะคืออะไร

สิ่งสำคัญคือเราต้องมุ่งมั่นเพื่อให้ได้ชัยชนะ และฝึกฝนอย่างหนัก แต่ก็ต้องมีความสุขในสิ่งที่ทำด้วย สำหรับรายการดาการ์ แรลลี่ ถ้ามีเพียงผมคนเดียวก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ ดังนั้นการร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งโคไดรฟ์เวอร์ ทีมงาน จึงเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จนี้

เป้าหมายต่อไปจะเข้าแข่งขันในรายการ WRC ไหม

คงไม่ครับ สำหรับผมเป้าหมายต่อไปอยากเป็นนักแข่งเจ็ตสกี เพราะเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความเร็วเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายมาก และมีเป้าหมายเล็กๆว่าจะขับเจ็ตสกี ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกให้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น