ตลาดรถสปอร์ตยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเพาะบรรดารถหรูรุ่นใหญ่ ซึ่งหลังจากเมอร์เซเดส-เบนซ์เปิดเผยโฉมของซีแอลรุ่นใหม่ออกมา หลายค่ายก็ขยับตัวและเริ่มเปิดเผยทีเด็ดออกมากระตุ้นตัวเลขในบัญชีของลูกค้ากันเป็นแถวๆ

ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น นอกจากซีแอลใหม่แล้ว ยังมีโปรเจ็กต์ใหม่ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุดเป็นซูเปอร์คาร์ระดับครึ่งร้อยล้านบาทอย่างเอสแอลอาร์ แม็กลาเรน เวอร์ชันพิเศษ 722 เอดิชั่น ที่ใครเห็นเป็นต้องงงว่า เจ้าเลข 722 มันคืออะไร?
โปรเจ็กต์ซูเปอร์คาร์ที่เบนซ์พัฒนาแต่แม็กลาเรนผลิตอย่างเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนทำท่าว่าจะไปได้ดีในช่วงแรก เพราะหลายคนฮือฮากับทางเลือกใหม่ ที่เบนซ์ไม่เคยมีให้ลูกค้ามาก่อน และสามารถดึงดูดความสนใจของแฟนๆ ของค่ายดาว 3 แฉกได้เป็นอย่างดี

แต่ด้วยราคาที่แพงมาก ก็ทำให้หลายคนถอดใจและถอยหลัง จนถึงขนาดเบนซ์เตรียมคลอดโปรเจ็กต์รุ่นเปิดประทุนแบบหลังคาแข็งพับได้ออกมาเพื่อหวังช่วยกระตุ้นให้ยอดขายเดินหน้าจนครบ 3,500 คันในช่วง 7 ปีที่ทำตลาดนับจากปี 2004 หรือเฉลี่ย 500 คันต่อปีตามที่วางเอาไว้ให้ได้
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยยืนยันตั้งแต่แรกว่าเอสแอลอาร์จะมีแค่คูเป้เท่านั้น โดยล่าสุดเมื่อกุมภาพันธ์ 2006 ผ่านมา เบนซ์ก็เพิ่งส่งมอบรถคันที่ 1,000 ให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่น

กลับมาที่รุ่น 722 เอดิชัน ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตของเบนซ์คงทราบทันที และอาจจะรู้ถึงความเกี่ยวพันและเหตุผลที่เบนซ์เลือกเอาเลขนี้มาใช้ในการผลิตรุ่นพิเศษ
นั่นเป็นเพราะเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนมีแรงบันดาลใจในการผลิตมาจากรถแข่ง Mile Miglia ที่ชื่อว่า 300เอสแอลอาร์ที่ลงแข่งในปี 1955 และขับโดยนักซิ่งเจ้าตำนานอย่างสเตอริง มอสส์ และรถแข่งคันนี้เองก็ใช้หมายเลข 722 ซึ่งหมายถึงเวลาสตาร์ทในการแข่งขันของรถยนต์คันนั้น คือ 7.22 นาฬิกา

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมจะพบถึงความแตกต่างในหลายจุด เพราะมีการเปลี่ยนกันชนหน้าพร้อมกับสปอยเลอร์ทรงใหม่ ขณะที่กันชนหลังมาพร้อมกับช่อง Diffuser สำหรับระบายอากาศที่ไหลผ่านใต้ท้องรถออกไปอย่างมีระเบียบ เพื่อประสิทธิภาพในด้านการทรงตัวในช่วงความเร็วสูง พร้อมล้อแม็กลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว

ขณะที่ภายในตกแต่งด้วยวัสดุใหม่เพิ่มทั้งความหรู และความสปอร์ต ในส่วนของช่วงล่างมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กอัพแบบสปอร์ต ลดความสูงลงจากเดิม 10 มิลลิเมตร ขณะที่ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อขยายขนาดเป็น 390 มิลลิเมตร
สำหรับเครื่องยนต์ไม่ได้แตะ มากับบล็อกวี8 5,500 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จเดิมๆ ที่โมดิฟายโดยเอเอ็มจี และมีกำลังสูงสุด 650 แรงม้า แต่ในเวอร์ชัน 722 มีความเร็วปลายอยู่ที่ 337 กิโลเมตร/ชั่วโมง มากกว่ารุ่นปกติ 4 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่ากันที่ 3.6 วินาที

จำนวนผลิตไม่ได้บอก แต่รีบหน่อยก็ดีสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ เพราะเชื่อว่าน่าจะมีการผลิตออกมาเพียงไม่กี่คันเท่านั้น ส่วนราคาไม่เปิดเผยแต่คิดว่าคงแพงจากรุ่นปกติซึ่งอยู่ที่ 313,560 ปอนด์ หรือ 21.9 ล้านบาทไม่มากนัก
ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น นอกจากซีแอลใหม่แล้ว ยังมีโปรเจ็กต์ใหม่ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุดเป็นซูเปอร์คาร์ระดับครึ่งร้อยล้านบาทอย่างเอสแอลอาร์ แม็กลาเรน เวอร์ชันพิเศษ 722 เอดิชั่น ที่ใครเห็นเป็นต้องงงว่า เจ้าเลข 722 มันคืออะไร?
โปรเจ็กต์ซูเปอร์คาร์ที่เบนซ์พัฒนาแต่แม็กลาเรนผลิตอย่างเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนทำท่าว่าจะไปได้ดีในช่วงแรก เพราะหลายคนฮือฮากับทางเลือกใหม่ ที่เบนซ์ไม่เคยมีให้ลูกค้ามาก่อน และสามารถดึงดูดความสนใจของแฟนๆ ของค่ายดาว 3 แฉกได้เป็นอย่างดี
แต่ด้วยราคาที่แพงมาก ก็ทำให้หลายคนถอดใจและถอยหลัง จนถึงขนาดเบนซ์เตรียมคลอดโปรเจ็กต์รุ่นเปิดประทุนแบบหลังคาแข็งพับได้ออกมาเพื่อหวังช่วยกระตุ้นให้ยอดขายเดินหน้าจนครบ 3,500 คันในช่วง 7 ปีที่ทำตลาดนับจากปี 2004 หรือเฉลี่ย 500 คันต่อปีตามที่วางเอาไว้ให้ได้
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยยืนยันตั้งแต่แรกว่าเอสแอลอาร์จะมีแค่คูเป้เท่านั้น โดยล่าสุดเมื่อกุมภาพันธ์ 2006 ผ่านมา เบนซ์ก็เพิ่งส่งมอบรถคันที่ 1,000 ให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่น
กลับมาที่รุ่น 722 เอดิชัน ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตของเบนซ์คงทราบทันที และอาจจะรู้ถึงความเกี่ยวพันและเหตุผลที่เบนซ์เลือกเอาเลขนี้มาใช้ในการผลิตรุ่นพิเศษ
นั่นเป็นเพราะเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนมีแรงบันดาลใจในการผลิตมาจากรถแข่ง Mile Miglia ที่ชื่อว่า 300เอสแอลอาร์ที่ลงแข่งในปี 1955 และขับโดยนักซิ่งเจ้าตำนานอย่างสเตอริง มอสส์ และรถแข่งคันนี้เองก็ใช้หมายเลข 722 ซึ่งหมายถึงเวลาสตาร์ทในการแข่งขันของรถยนต์คันนั้น คือ 7.22 นาฬิกา
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมจะพบถึงความแตกต่างในหลายจุด เพราะมีการเปลี่ยนกันชนหน้าพร้อมกับสปอยเลอร์ทรงใหม่ ขณะที่กันชนหลังมาพร้อมกับช่อง Diffuser สำหรับระบายอากาศที่ไหลผ่านใต้ท้องรถออกไปอย่างมีระเบียบ เพื่อประสิทธิภาพในด้านการทรงตัวในช่วงความเร็วสูง พร้อมล้อแม็กลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว
ขณะที่ภายในตกแต่งด้วยวัสดุใหม่เพิ่มทั้งความหรู และความสปอร์ต ในส่วนของช่วงล่างมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กอัพแบบสปอร์ต ลดความสูงลงจากเดิม 10 มิลลิเมตร ขณะที่ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อขยายขนาดเป็น 390 มิลลิเมตร
สำหรับเครื่องยนต์ไม่ได้แตะ มากับบล็อกวี8 5,500 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จเดิมๆ ที่โมดิฟายโดยเอเอ็มจี และมีกำลังสูงสุด 650 แรงม้า แต่ในเวอร์ชัน 722 มีความเร็วปลายอยู่ที่ 337 กิโลเมตร/ชั่วโมง มากกว่ารุ่นปกติ 4 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่ากันที่ 3.6 วินาที
จำนวนผลิตไม่ได้บอก แต่รีบหน่อยก็ดีสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ เพราะเชื่อว่าน่าจะมีการผลิตออกมาเพียงไม่กี่คันเท่านั้น ส่วนราคาไม่เปิดเผยแต่คิดว่าคงแพงจากรุ่นปกติซึ่งอยู่ที่ 313,560 ปอนด์ หรือ 21.9 ล้านบาทไม่มากนัก