จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้พลังงานทางเลือกไม่ว่าจะเป็น ก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจี แอลพีจี แก็สโซฮอล์ ไปจนถึงไบโอดีเซล เริ่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น พร้อมแนวทางสนับสนุนที่ชัดเจนของรัฐบาล ส่งผลให้บรรดาค่ายรถยนต์เริ่มหันมามองตลาดรถประเภทนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตามเรื่องพลังงานทางเลือก ค่ายรถใหญ่-เล็ก ต่างมีแผนงานและจุดยืนต่างกันไป แต่ในส่วนของผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ ที่มีความยืดหยุ่นในการบริหาร รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างจากเจ้าของแบรนด์
สำหรับยุคน้ำมันแพงเช่นนี้ “เกรย์ มาร์เก็ต” หลายเจ้า จึงกล้านำเสนอทางเลือกใหม่ๆเพื่อผู้บริโภคกำลังซื้อสูง อย่างรถพลังงานสองระบบ “ ไฮบริด” ซึ่งผสานการทำงานของน้ำมันเบนซิน กับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมี โตโยต้า อัลพาร์ด ไฮบริด (Toyota Alphard Hybrid) เป็นตัวชูโรง หรือโตโยต้า พริอุส ไฮบริด (Toyota Prius Hybrid) ที่เห็นวิ่งบนท้องถนนไม่บ่อยนัก
ล่าสุด เอส.อี.ซี. กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระรายใหญ่ งัดสไตล์ถนัดทำตัวเป็นเสือปืนไว นำ“โตโยต้า เอสติมา ไฮบริด” (Toyota Estima Hybrid) เข้ามาทำตลาดก่อนเจ้าอื่นๆ ขณะที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ไพบูลย์ สุขสุธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ เอส.อี.ซี.กรุ๊ป เปิดเผยในงาน Magic of Hybrid ว่า บริษัทฯได้นำเข้ารถยนต์ โตโยต้า เอสติมา ไฮบริด รุ่นล่าสุด มาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคน้ำมันแพง
“เอสติมา ไฮบริด ถือเป็นนิยามใหม่ของการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมความประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม โดยมีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 20 กม./ลิตร เท่านั้น”
โดยเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2AZ-FXE 2.4 ลิตร 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ที่ 0-1,500 รอบ/นาที ขณะที่ด้านหลังมีกำลังสูงสุด 68 แรงม้า 4,600-5,120 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร ที่ 0-610 รอบ/นาที
เมื่อรวมพลังขับเคลื่อนทั้งหมด ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ทำงานร่วมกัน จะส่งให้มีกำลังสูงสุดถึง 190 แรงม้า ทั้งยังสามารถเลือกโหมด EV Drive เพื่อใช้ในกรณีที่ต้องการให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ระบบขับเคลื่อนเป็น 4 ล้อแบบไฟฟ้า โดยพลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังจะทำงานทันทีเมื่อเร่งเครื่องยนต์ หรืออยู่บนพื้นถนนลื่น พร้อมด้วยระบบความปลอดภัย อาทิ เบรกป้องกันล้อล็อกABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD,ระบบช่วยเบรก BA,ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ VSC และระบบควบคุมการยึดเกาะถนนอัตโนมัติ TRC
สำหรับพวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนพิเนี่ยน ขณะที่ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบ แมคเฟอร์สันสตรัท และหลังเป็นทอร์ชันบีม เอสติมา ไฮบริด มีมิติตัวถังยาว 4,800 มม. กว้าง 1,800 มม. สูง 1,760 มม. ระยะฐานล้อ 2,900 มม. และมีน้ำหนัก 2,355 กิโลกรัม ทั้งยังมีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทาน(Cd) เพียง 0.30 เท่านั้น พร้อมรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร
ภายในอเนกประสงค์กับ เบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครับ อาทิ นาฬิกาข้อมือ Key Integrated Watch ที่จะเป็น Smart Key สามารถควบคุมการล็อคกุญแจประตูอัตโนมัติ พร้อมการสตาร์ทเครื่องโดยการเหยียบแป้นเบรก และกดปุ่ม Engine Start เท่านั้น
สำหรับนาฬิกาข้อมือ Key Integrated Watch ถูกออกแบบอย่างหรูหรา ด้วยหน้าปัด สีขาว พร้อมตัวเรือนที่มีโลโก้ แบบเดียวกับหน้ารถ และสายรัดผลิตจากไททาเนียม ซึ่งให้น้ำหนักเบาและแข็งแรง
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ภายในปีนี้ยอดขาย เอสติมา ไฮบริด ของบริษัทฯน่าจะอยู่ที่ 100 คัน โดยตั้งราคาไว้ที่ 3.74 ล้านบาท ทั้งนี้ลูกค้าที่จอง ในงาน “Magic of Hybrid” ระหว่าง 8 – 14 สิงหาคม นี้ บริเวณ ชั้น G ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว จะได้ราคาพิเศษเพียง 3.49 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมข้อเสนอและสิทธิพิเศษมากมาย