xs
xsm
sm
md
lg

ลองของ“E200 NGT”ก๊าซ-น้ำมัน...อารมณ์ไม่ต่าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องของพลังงานทดแทนจะถูกหยิบยกมาเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนทุกครั้ง ที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทั้งแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล รวมถึงก๊าซธรรมชาติอย่างซีเอ็นจี(CNG) และเอลพีจี(LPG)

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีแนวทางสนับสนุนในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษี การผ่อนปรนเงื่อนไขที่ยุ่งยาก รวมถึงการให้เงินอุดหนุนในรูปแบบต่างๆ

แม้รัฐบาลจะจริงจังแต่ความจริงใจยังเป็นที่สงสัย เพราะมาตรการหรือนโยบายต่างๆ ที่พยายามผลักดันออกมาใช้ ยังดูงงๆ และสับสนว่าจะไปในทิศทางใดกันแน่?

แน่นอนว่าอะไรที่เป็นของถูกและดี ผู้บริโภคอย่างเราๆก็ชอบอยู่แล้ว แต่ถ้ามองในมุมของผู้ประกอบการ ต้องบอกว่า “มึน” ทั้งแนวทางการสนับสนุนที่เปลี่ยนไปมา รวมถึงระยะเวลาที่ไม่ชัดเจน

ยังจำกันได้ ก็เรื่องของ “อีโค คาร์” ถึงแม้จะเป็นคนละเรื่องกับพลังงานทางเลือก แต่เหตุผลหลักๆ ที่ชอบหยิบยกมาพูดกันคือ เป็นรถเครื่องเล็กประหยัดน้ำมัน

รถยนต์ขนาดเล็กที่รัฐบาลพยามยามผลักดันให้เป็นโปรดักส์แชมป์เปียนตัวที่สอง รองจากรถปิกอัพ และถือเป็นประเด็นร้อน ในวงกาแฟตอนเช้า และวงเหล้าตอนกลางคืน เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว แต่สุดท้าย ก็พับเก็บไปเรียบร้อย

จากนั้นก็เป็นเรื่องของ แก๊สโซฮอล์ อี20 (E20) ที่ตอนแรกประกาศไปแล้วว่าจะลดภาษีสรรพสามิต สำหรับรถที่ใช้น้ำมันประเภทนี้ได้ แต่สุดท้ายเมื่อมีค่ายรถหามาทำตลาดได้จริง กลับเลื่อนแผนไปถึงปี 2552 โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยยังไม่มีน้ำมันประเภทนี้...ถ้ามองด้านหนึ่งก็ถูก แต่ที่สงสัยอยู่นิดเดียวคือตอนประกาศออกทำไมไม่ศึกษาให้ดีก่อน

ยังเห็นได้ชัดจากการโหมโฆษณาเพื่อให้ผู้บริโภคเปลี่ยนความเชื่อ แล้วหันมาใช้แก๊สโซฮอล์กันเต็มบ้านเต็มเมือง ทำให้มีความต้องการมาก จนกำลังผลิตเอทานอลไม่พอ จึงต้องกลับมาแก้ปัญหาด้วยการนำเข้า ซึ่งกลายเป็นผิดวัตถุประสงค์ของการใช้แก๊สโซฮอล์ เพื่อลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ

ทั้งหมดจึงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการวางแผน และบริหารจัดการของรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบได้อย่างชัดเจน

ล่าสุดรัฐบาลเตรียมลดภาษีให้รถยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจี (CNG: Compressed Natural Gas) หรือเรียกกันจนชินปากว่า “เอ็นจีวี”(NGV:Natural Gas for Vehicles) ทั้งเรื่องของการลดภาษีนำเข้าเครื่องยนต์ และลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่ผลิตโดยตรงจากโรงงาน (Factory Design) รวมถึงรถยนต์ที่นำไปติดตั้งนอกโรงงาน(Retro fit)

หลังจากการประกาศนโยบายดังกล่าว หลายค่ายรถยนต์ยังลังเล แบ่งรับแบ่งสู้ หรืออาจจะรอท่าทีคู่แข่งอยู่ แต่ในส่วนของ เดมเลอร์ไครส์เลอร์ (ประเทศไทย) ต้องถือว่าเข้าทาง เพราะมีแผนการล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว โดยมีการนำ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี200 เอ็นจีที (E200 NGT) มาอวดโฉมตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

จากนั้นเริ่มขายอย่างจริงจังเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กับค่าหัว 4.14 ล้านบาท นอกจากนี้ยังใส่เกียร์เดินหน้า เตรียมขึ้นไลน์ประกอบในประเทศไทย ช่วงไตรมาส 4 และเตรียมขายปลายปีนี้ พร้อมเคาะราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทแน่นอน

อย่างไรก็ตามราคาของ อี200 คอมเพรสเซอร์(E200 Kompressor) ที่ประกอบในประเทศ ก็ปาเข้าไป 3.85 ล้านบาทแล้ว ทำให้งานนี้ต้องมาวัดใจ เดมเลอร์ไครส์เลอร์ ว่าจะวางตำแหน่งสินค้าอย่างไร รวมถึงอ๊อปชันที่ใส่มาให้มากน้อยแค่ไหน

เอาเป็นว่าก่อนที่จะได้สัมผัส อี200 เอ็นจีที รุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ช่วงปลายปี เรามาลองทำความรู้จักกับ “เจ้าดาวสามแฉกลูกผสม” ตัวนำเข้า(CBU)กันก่อน...โดย “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” มีประสบการณ์หลังพวงมาลัยมาเล่าสู่กันฟัง

แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกก็คือ อี200 คอมเพรสเซอร์ แต่จะต่างกันเพียงฝาถังน้ำมันของ อี200 เอ็นจีที จะยาวกว่า เพราะติดตั้งหัวรับน้ำมัน และก๊าซ ไว้ที่จุดเดียวกัน รวมถึงตัวอักษร “เอ็นจีที” แปะเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านท้าย

เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก และการตกแต่งภายในคงไม่ต้องพูดกันมาก เพราะยังคงไว้ด้วยความหรูหรา แต่แฝงอารมณ์สปอร์ตไว้เล็กๆ รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันตามสไตล์ อี-คลาส

ประเด็นวันนี้น่าจะอยู่ที่อรรถรสการขับขี่มากกว่า โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้พัฒนาเครื่องยนต์ TWINPULSE ซูเปอร์ชาร์จ 4 สูบ 1800 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 3,000-4,000 รอบ/นาที ซึ่งวางอยู่ใน อี200 คอมเพรสเซอร์ เพื่อให้ใช้งานได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และก๊าซซีเอ็นจี

โดยมีการติดตั้งหัวฉีดก๊าซไว้ที่ใต้ท่อร่วมไอดี พร้อมเซนเซอร์ กับอีเลคโทรแมคเนติควาล์ว ที่จะคอยควบคุมแรงดันของก๊าซ และระบบอื่นๆ เพื่อรักษาให้เครื่องยนต์มีกำลังและแรงบิดเท่าเดิม

อย่างไรก็ตามอัตราเร่ง 0- 100 กม./ชม. การใช้น้ำมันเบนซินจะทำได้ดีกว่าก๊าซซีเอ็นจีนิดหน่อยที่ 10.7 วินาที ส่วนก๊าซซีเอ็นจี 10.8 วินาที ซึ่งเวลาขับขี่จริงไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลย เพราะยามต้องการพลังออกมาสนับสนุนความต้องการของเท้าขวา ก็ทำได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งต้นและปลายเรียกว่ากดเมื่อไหร่ก็มา ปุ๊บ-ปั๊บ ทันใจ

นอกจากนี้ระหว่างการขับเราสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานของน้ำมัน กับ ก๊าซได้ทันทีบนปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย ซึ่งค่าการทำงานต่างๆจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน และเข้าใจง่ายที่จอแสดงผลด้านหน้า ทั้งยังไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในขณะที่เซนเซอร์ตัดสลับพลังงานทั้งสอง

ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ระบบจะยังไม่เปลี่ยนทันทีทันใด แล้วน่าจะมีเซ็นเซอร์หน่วงรอจังหวะให้เหมาะสมแล้วค่อยสลับ ขณะเดียวกันเมื่อพลังงานตัวใดตัวหนึ่งหมด ระบบก็จะเปลี่ยนกลับไปใช้พลังงานอีกตัวทันที

รวมถึงเวลาสตาร์ทเครื่อง ถึงแม้เราจะเลือกเป็นระบบก๊าซไว้ แต่ในขณะบิดกุญแจ ระบบจะสั่งการให้มีการจุดระเบิดด้วยน้ำมันก่อน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และหลังจากการออกตัวไปแล้ว ระบบก็จะตัดกลับมาใช้ก๊าซโดยอัตโนมัติ

แม้การสลับพลังงานทั้งสองจะไม่ออกอาการกระชาก หรือแสดงอาการให้เห็นชัดๆ แต่จากการได้ลองขับแล้วใช้ระบบก๊าซในช่วงรถติดๆ ความเร็วประมาณ 20 กม./ชม. ไหลตามกันไปเรื่อย ช่วงกดคันเร่งให้ความรู้สึกไม่ต่างจากระบบน้ำมัน แต่ขณะที่เรายกเท้า ถอนคันเร่งเครื่องยนต์จะออกอากรกระตุกเล็กๆ แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงมากมาย

สำหรับการบังคับควบคุมนั้นเฉียบคมสมชื่อ รวมถึงช่วงล่างที่เหนียวแน่น ทำให้มั่นใจทุกสภาพการขับขี่ ผสานกับระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมเลือกได้สองโหมดคือ คอมฟอร์ท กับสปอร์ต ทั้งยังเร้าใจกับการเลือกเล่นเป็นแบบเกียร์ธรรมดาได้อีกด้วย

อี200 เอ็นจีที บรรจุถังก๊าซ 4 ถัง ความจุรวมกัน 18 กิโลกรัม (ก๊าซ ซีเอ็นจี 1 กก. = น้ำมัน 1.12 ลิตร บนค่าพื้นฐานความร้อนเดียวกัน) โดย 2 ถังใหญ่จะอยู่หลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง และ 2 ถังเล็กติดตั้งอยู่ใต้พื้นเก็บสัมภาระด้านหลัง...ใช่แล้วครับ! งานนี้ยางอะไหล่ต้องเป็นผู้จากไป เพื่อคงพื้นที่ขนาด 400 ลิตรเอาไว้ (อี200 คอมเพรสเซอร์ มีความจุ 520 ลิตร)

ขณะเดียวกันถ้าใช้ก๊าซซีเอ็นจี(เมืองไทย)วิ่งอย่างเดียว เติมเต็มถัง 18 กิโลกรัม จะวิ่งได้ประมาณ 240 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นก๊าซธรรมชาติของต่างประเทศจะวิ่งได้ถึง 300 กิโลเมตร เลยทีเดียว(วัดตามมาตรฐานสหภาพยุโรป) เนื่องจากมีค่ามีเทนสูงกว่าทำให้เวลาจุดระเบิดไม่ต้องใช้ปริมาณก๊าซมาก

นอกจากนี้จากประสบการณ์จริง เวลาที่เราเข้าไปเติม ก๊าซในปั๊มจะต้องมีบัตรทองโชว์พนักงานบริการ ที่ออกให้โดยปตท.

ซึ่งปตท.ชี้แจงว่าเป็นเรื่องความปลอดภัย เพราะการติดตั้งระบบก๊าซซีเอ็นจี ทั้งจากโรงงาน(E200 NGT) และติดตั้งโดยอู่ที่ปตท.รับรอง จะถือว่ารถคันนั้นๆ ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด ดังนั้นอู่อื่นๆที่ ปตท.ไม่ได้รับรองก็จะไม่มีบัตร และไม่มีสิทธิเติมก๊าซ(ที่ปตท.ขายเจ้าเดียวในตลาด) หรือเรียกง่ายๆว่า “ป้องกันการมั่วนั่นเอง”

อย่างไรก็ตามการที่มีปั๊มเติมอยู่เพียง 63 แห่ง(สิ้นปีนี้คาดว่าจะขยายเป็น 200 แห่ง) ทำให้ต้องรอคิวนานนิดหน่อย เพราะบางปั๊มอาจมีเพียงหัวจ่ายเดียว และมีพี่แท็กซี่จ่อคิวกันพอสมควร...แต่เรื่องนี้ยังไม่หนักใจเท่ากับการทำความเข้าใจกับพนักงานบริการ....เพราะพี่เขาจะให้เปิดฝากระโปรงท่าเดียว ทำให้ต้องคุยกันนานกว่าจะตกลงกันรู้เรื่อง ว่ามันเติมที่เดียวกับฝาถังน้ำมันนั่นแหละ

แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ได้เป็นปัญหา หรือทำให้หงุดหงิดใจอะไรมากมาย ยิ่งถ้าเหลือบไปมองที่ตัวเลขหน้าปัดบนตู้จ่ายน้ำมัน ก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว เพราะมันโชว์แค่กิโลกรัมละ 8.50 บาท...เติมเต็มถังก็ร้อยกว่าบาท

ดังนั้นการลองขับ “อี200 เอ็นจีที” ครั้งนี้ เราแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างก๊าซกับน้ำมัน แต่อารมณ์มันจะต่างก็ตอนจ่ายตังค์นี้แหละครับ!







กำลังโหลดความคิดเห็น