เริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวของวงการรถยนต์เมืองไทย ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าคงจะไม่ราบเรียบเงียบสงบเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากตลาดรถยนต์นั่งจะคึกคักด้วยการเปิดตัวเก๋งซับคอมแพกต์รุ่นใหม่ “โตโยต้า ยาริส” แล้ว ตลาดรถปิกอัพที่ครองสัดส่วนยอดขายมากกว่า 60% ในบ้านเราก็ดุเดือดไม่แพ้กัน
โดย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “จีเอ็ม” ชิงปล่อยหมัดเด็ดต้อนรับปีหมาดุ ด้วยการส่ง เชฟโรเลต โคโรลาโด G80 Diff-Lock ทำตลาด ซึ่งถือเป็นการตัดหน้าช่วงชิงจุดยุทธศาสตร์ก่อนค่ายอื่นที่กำลังเตรียมเปิดตัวปิกอัพโมเดลใหม่ ทั้ง ฟอร์ด-มาสด้า และนิสสัน โดยมีแผนวางเครื่องยนต์คอมมอนเรลเป็นจุดขาย ให้ต้องกลับไปนอนคิดเป็นการบ้านอีกหนึ่งตลบ
ทั้งนี้ ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า และเจ้าพ่อรถปิกอัพอย่างอีซูซุ ที่เป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันมาตลอด พยายามชูเรื่องสมรรถนะของเครื่องยนต์คอมมอนเรลแข่งขันกันอย่างไม่มีใครยอมน้อยหน้า แต่สำหรับ เชฟโรเลต โคโรลาโด ที่เพิ่งแนะนำตัวเองสู่ตลาดเมืองไทยมาเพียง 3 ปีเท่านั้น พยายามมองไปอีกขั้นโดยฉีกตัวเองให้แตกต่างไม่เน้นเรื่องเครื่องยนต์คอมมอนเรลเป็นจุดขาย แต่พยายามชูเรื่องความอึด และสมรรถนะสไตล์อเมริกันมาตั้งแต่แรก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการสร้างแบรนด์ให้แตกต่าง เพื่อหนีภาพ อีซูซุ ดีแมคซ์ พี่น้องร่วมท้องเดียวกันให้ชัดเจนมากที่สุด ซึ่ง G80 Diff-Lock ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการนำเทคโนโลยีใหม่มาสู่ผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งน่าจะเป็นผลดี เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคแล้วยังส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางด้านคุณภาพมากขึ้นไปอีกด้วย
G80 Diff-Lock ดังกล่าวนี้ เป็นระบบล็อกเฟืองท้ายกลไกอัตโนมัติ ถูกใส่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในเชฟโรเลต โคโรลาโด ทั้ง 20 รุ่น (โดยรุ่นธรรมดาก็ยังมีให้เลือก) จะมีหลักการทำงานเมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งหมุนฟรี หรือเมื่อล้อทั้งสองข้างมีความเร็วในการหมุนต่างกันที่ 100 รอบ/นาที ที่ความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม. ระบบจะล็อกเพลาซ้าย-ขวา ให้เป็นแกนเดียวโดยอัตโนมัติ เพื่อให้การทำงานของเพลา และล้อทั้งสองมีกำลังเท่ากันที่อัตราส่วน 50:50
หรือพูดง่ายๆ ว่า เวลาที่รถติดหล่ม หรืออยู่บนทางที่ไม่เสมอกัน ทำให้ล้อข้างใดข้างหนึ่งลอยจากพื้น(แขวน) แล้วหมุนฟรี ระบบ G80 Diff-Lock จะทำการส่งกำลังจากล้อที่หมุนฟรีมาสู่ล้อที่ติดดินให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เท่ากัน ส่งผลให้มีพละกำลังผลักดันให้ข้ามผ่านอุปสรรคไปได้
นับว่าเป็นความกล้าหาญครั้งใหม่ของจีเอ็ม ในการรุกตลาดปิกอัพด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่มีค่ายไหนกล้าทำมาก่อน เพราะว่ารถปิกอัพขับเคลื่อน 2 ล้อที่วิ่งกันเต็มบ้านเต็มเมืองในบ้านเราส่วนใหญ่จะมีระบบเฟืองท้ายแบบโอเพ่น ดิฟเฟอเรนเชียล (Open Differentials) ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์เดียวกัน กำลังเกือบทั้งหมดจะถูกส่งไปที่ล้อข้างที่หมุนฟรี (แต่ G80 Diff-Lock ส่งจากล้อหมุนฟรีสู่ล้อที่ติดพื้นดิน) ทำให้ไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคไปได้ ส่วนระบบ ลิมิเต็ด สลิป ดิฟเฟอเรนเชียล (Limited Slip Differentials) ที่นิยมติดตั้งในรถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือออฟโรด จะมีการส่งกำลังไปสู่ล้อที่ติดพื้นดินเพียงแค่ 30:70 เท่านั้น
สำหรับกรณีที่ขับบนเส้นทางปกติจะไม่มีผลใดๆ เพราะระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม.เท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นสถานการณ์ที่รถติดหล่ม หรืออยู่บนเส้นทางที่ไม่สามารถใช้ความเร็วได้อยู่แล้ว แต่ถ้าขับบนเส้นทางปกติที่ใช้ความเร็วเกินกว่า 30 กม./ชม. ระบบก็จะปลดล็อกอัตโนมัติ หรือถ้าเป็นกรณีที่ขับเข้าโค้งแรงๆ แล้วเกิดอาการล้อฟรี ระบบนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องหรือส่งผลให้รถไม่เกาะถนนแต่อย่างใด ฉะนั้นบรรดาตีนผีทั้งหลายสบายใจได้
ด้วยระบบเฟืองท้ายใหม่ที่ต้องนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจีเอ็มคุยว่าจะทำให้รถขับเคลื่อนสองล้อที่ติดระบบเทวดานี้จะมีสมรรถนะใกล้เคียงกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อเลยทีเดียว ทั้งนี้ หลังจากการได้สัมผัสประสบการณ์จริงหลังพวงมาลัยมาแล้ว ต้องบอกว่าเป็นระบบที่ยอดเยี่ยมมาก โดยจีเอ็มได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบ โคโรลาโด G80 Diff-Lock ณ สนามที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษข้างห้างโลตัส เรียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา (รอบประชาชนทั่วไปวันที่ 21-22 มกราคม)
โดยจำลองสถานการณ์ทั้งเนินสูงชันที่จะมีลูกโรลเลอร์ดักอยู่ที่ล้อด้านขวา ซึ่งก็ถือว่าท้าทายความสามารถของทั้งคน และรถพอสมควร เพราะคุณต้องทำความคุ้นเคยกับเจ้าระบบใหม่นี้อยู่บ้าง แต่เมื่อจับทางของมันได้แล้ว ต้องบอกว่าอุปสรรคด่านต่อไปที่อยู่ข้างหน้าทั้งเนินสลับ หรือร่องตัววี และบ่อโคลนก็ผ่านฉลุย ซึ่งรุ่นที่ผมขับเป็นโคโรลาโด เครื่องยนต์ 2500 ซีซี ซี-แค็บขับเคลื่อน 2 ล้อเท่านั้น
แต่สำหรับคำพูดที่ว่า เมื่อติด G80 Diff-Lock แล้วจะทำให้รถขับเคลื่อน 2 ล้อมีสมรรถนะใกล้เคียงกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น คงเป็นคำพูดที่กว้างเกินไป ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่ารถของเราจะไปอยู่ในสถานการณ์ หรือลักษณะการใช้รถเป็นแบบใดมากกว่า
ถ้าใจรักจะลุยป่าลุยเขา หรือบุกป่าในเส้นทางสุดโหดแบบออฟโรดจริงๆ อย่างไรแล้วระบบ 4x4 ก็ต้องดีกว่าเพราะเกิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่ถ้าใครจะเสริม G80 Diff-Lock เข้าไปก็ตามสะดวก แต่นั้นจะส่งผลให้รถคุณกลายเป็นราชาแห่งป่าไปเลย
แต่ถ้ามองการใช้งานในแบบชาวบ้านธรรมดาที่มีรถปิกอัพเพื่อการใช้งานจริงๆ อย่างบรรทุกของตามเรือกสวนไร่นา หรือเส้นทางที่จะเรียกว่าถนนก็ไม่เต็มปากนัก ยิ่งวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจทำให้เส้นทางเต็มไปด้วยโคลนเละๆ ซึ่งถ้ารถคุณเป็นแบบขับเคลื่อนสองล้อแล้วมีระบบ G80 Diff-Lock ติดตั้งเข้าไป ต้องบอกว่าเหมาะสม และจำเป็นต่อการใช้งานอย่างยิ่ง
เพราะถ้าคุณซื้อรถ 4x4 ราคาจะแพงกว่า 4x2 อยู่กว่าแสนบาท แต่ระบบนี้คุณเพิ่มเงินเพียง 22,000 บาท ก็สามารถผ่านอุปสรรคที่ขวางหูขวางตาไปได้อย่างไม่ยากเย็นเช่นกัน แต่ในเบื้องต้นจีเอ็มยังไม่รับติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมให้กับโคโรลาโดรุ่นก่อนหน้านี้ แต่จะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาจากโรงงานกับเชฟโรเลต โคโรลาโด รุ่นใหม่เท่านั้น
ซึ่งทางผู้บริหารจีเอ็มบอกว่า ถ้ารับมาติดตั้งให้โคโรลาโดรุ่นเดิม ต้นทุนจะไม่ได้อยู่ที่ 22,000 บาท แต่อย่างไรก็ตาม ยังแย้มช่องว่ากำลังศึกษาเพื่อที่จะลดต้นทุนดังกล่าวอยู่ นอกจากนี้ จีเอ็มยังเคลมว่าการติด G80 Diff-Lock จะไม่ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น และบริโภคน้ำมันมากขึ้นแต่อย่างใด
สรุปว่าถ้าจะซื้อ เชฟโรเลต โคโรลาโด G80 Diff-Lock คงต้องมาดูการใช้งานในชีวิตประจำวันของแต่ละคนว่าเป็นแบบใด เพราะถ้าคุณมีความสามารถในการจ่ายค่าตัวรถในหลักแสนแล้ว จะยินดีจ่ายค่าเทคโนโลยีดังกล่าวอีก 22,000 บาทหรือไม่ ซึ่งผมว่าราคานี้สมน้ำสมเนื้อกับสมรรถนะที่ได้รับ เพราะด้วยตัวของระบบมันดีอยู่แล้วในสถานการณ์ที่จำเป็น ฉะนั้น สิ่งสำคัญคงขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้งานให้มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากน้อยขนาดไหน