xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวย่างที่ลำบากของจีเอ็มประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลายคนอาจจะสรุปว่าประเทศไทยคือ “ดีทรอยต์ของเอเซีย” หากดูจากการลงทุนของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่ต่างขนเทคโนโลยีใหม่ๆมุ่งหน้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้ เพราะดูจากรายชื่อของรถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทยแล้ว ถือได้ว่ามีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกทั้งนั้น 

ทั้งบริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่น ยุโรป หรือจะเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง จีเอ็ม หรือ เจนเนอรัล มอเตอร์ เจ้าแห่งโลกยานยนต์เมืองลุงแซม สหรัฐอเมริกา ยังให้ความสำคัญกับประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะเพื่อจำหน่ายภายในประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศ

มองย้อนกลับไปในอดีตคนไทยได้รู้จักและได้สัมผัสรถยนต์จากตระกูลจีเอ็มมาแล้วมากมายหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นคาดิแลค โฮลเด้น และอาจจะมียี่ห้ออื่นอีกหลายยี่ห้อ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงเป็นรถในเครือของจีเอ็ม  ส่วนที่ทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์ของจีเอ็มได้อย่างชัดเจนคือ รถยนต์ภายใต้แบรนด์ของ โอเปิล

โดยตระกูล จึงสงวนพรสุข ซึ่งเป็นตระกูลดังอีกตระกูลหนึ่งในแวดวงยานยนต์ได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ทั้งแบรนด์ของ โอเปิล และโฮลเด้น

“เสี่ยเท้ง” บันเทิง จึงสงวนพรสุข ผู้บุกเบิกการทำตลาดรถยนต์โอเปิล และโฮลเด้น ภายใต้บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด โดยมีลูกชายหัวเรือใหญ่ ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข เป็นผู้ปลุกปั้นชื่อของโอเปิล ให้คนไทยได้รู้จักด้วยยนตรกรรมขนาดเล็ก โอเปิล คอร์ซ่า ที่ช่วงเวลานั้นตลาดรถยนต์ยังไม่ค่อยจะมีรถยนต์ขนาดเล็ก จะมีก็เพียง ไดฮัทสุ มิร่า ซึ่งเป็นรถที่ได้รับความนิยมสำหรับลูกค้าบ้างกลุ่มเพราะเป็นรถที่มีขนาดเล็กเกินไป

การเปิดตัวของโอเปิล คอร์ซ่า จึงเป็นที่สนใจของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก และถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยลักษณะรถเล็กที่มีให้เลือกทั้งแบบ 3 ประตู และแฮทแบ็ก 5 ประตู ในราคาที่ไม่สูงมากนัก ส่งให้ชื่อของโอเปิลติดตลาดด้วยรถเพียงรุ่นเดียว

หลังจากนั้นทาง พระนครยนตรการ ก็ได้นำรถรุ่นต่างๆของโอเปิลเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งซีดาน รุ่น เวคตร้า , แอสตร้า และโอเมก้า แต่ด้วยสภาพตลาดในขณะนั้น รถจากยุโรปยังคงมีช่องว่างในเรื่องของราคาและปัญหาเรื่องของงานบริการที่แตกต่างกับบรรดาค่ายรถญี่ปุ่น

อีกทั้งยังมีรถยนต์นั่งของค่ายญี่ปุ่นต่างทยอยเปิดตัวรุ่นใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แบรนด์ของโอเปิล ภายใต้การดูแลของพระนครยนตรการ เริ่มเข้าสู่ภาวะตกต่ำลง ปัญหาเรื่องของอะไหล่ที่มีราคาค่อนข้างสูงรวมถึงปัญหาจุกจิกที่เกิดขึ้นกับตัวรถ ส่งผลถึงความมั่นใจกับลูกค้า ทำให้ทางพระนครยนตรการเองก็เริ่มที่จะถอดใจ บวกกับมีการติดต่อที่จะทำตลาดรถเกาหลียี่ห้อ ฮุนได ทำให้บทบาทของโอเปิลนั้นหายไป 

ตรงจุดนี้เองอาจจะเป็นผลให้ชื่อของจีเอ็ม ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับกับตลาดในประเทศไทย ความมั่นใจในตัวโปรดักท์ของจีเอ็มสำหรับผู้บริโภคของไทยจึงลดน้อยลงไปเรื่อยๆภาพในด้านลบของตัวโปรดักท์จีเอ็มจึงยังติดอยู่ในความรู้สึกของผู้บริโภค

โดยเฉพาะลูกค้าเก่าของโอเปิลที่เหมือนถูกลอยแพหลังจากที่พระนครยนตรการเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายไป เพราะนอกจากเรื่องของศูนย์บริการที่ไม่มีให้เข้ารับบริการแล้ว ในเรื่องของอะไหล่เองก็หาได้ยากลำบาก

หลังจากช่วงนั้นแบรนด์ของจีเอ็ม ได้หายไปจากตลาดประเทศไทยอยู่หลายปี ก่อนที่จะมีข่าวใหญ่ เมื่อทาง จีเอ็ม ประกาศที่จะเข้ามารุกตลาดในประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งในการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอีกครั้งไม่ได้เพียงแค่เข้ามาจำหน่ายหรือแต่งตั้งตัวแทนในประเทศ เท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเข้าตั้งฐานการผลิตรถในประเทศ  โดยใช้ชื่อของ “เชฟโรเลต” เป็นแบรนด์ในการบุกตลาดเมืองไทย

กว่า 10 ปีที่ผ่านมา หลังจากการตัดสินใจของ เจนเนอรัล มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เลือกให้ประเทศไทยชนะคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ภายใต้แบรนด์ “เชฟโรเลต” โดยการจัดตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ ในนามบริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด 

โครงการดังกล่าวเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2539 ด้วยเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 440 ไร่ ภายในนิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดระยอง และสร้างเปิดไลน์การผลิตได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2543


โดยศูนย์การผลิตแห่งนี้ได้รับการออกแบบตามศูนย์การผลิตรถยนต์ต้นแบบขอ เจเนอรัล มอเตอร์ ที่เมืองไอเซนนาร์ด ประเทศเยอรมันนี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศูนย์การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยถูกนำมาใช้ในประเทศ  ทำให้ จีเอ็ม ประเทศไทย กลายเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ที่ดีที่สุดในประเทศ และดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย

รถรุ่นแรกที่ผลิต ณ ศูนย์การผลิตแห่งนี้คือ รถยนต์อเนกประสงค์ซาฟิร่า ซึ่งเป็นโปรดักท์แรกของ เชฟโรเลต ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นช่วงที่ตลาดต้องการรถประเภท MPV ด้วยรูปทรงและราคาที่ไม่สูงมากนักส่งผลให้ยอดขายของซาฟิร่าพุ่งฉิว ภายใต้การบริหารการตลาดโดย บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

หลังจากนั้นในปี 2546 ได้เริ่มผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือกันระหว่าง อีซูซุ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ จีเอ็ม ประเทศสหรัฐอเมริกา กับทางจีเอ็ม ประเทศไทย ทำการผลิตกระบะเพื่อส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก และจำหน่ายในประเทศ ภายใต้ ชื่อรุ่นว่า โคโรลาโด โดยเปิดตัวสู่ตลาดในช่วงเดือนเมษายน 2547 ซึ่งหลายๆคนคงจะรู้กันดีว่าเป็นรถกระบะอีซูซุภายใต้โลโก้ของเชฟโรเลตเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็เริ่มผลิตรถยนต์นั่งขนาดกลาง เชฟโรเลต ออพตร้า และเปิดตลาดรถยนต์นั่งช่วงกลางปี 2546 พร้อมกับนำเข้ารถยนต์ระดับหรู เชฟโรเลต ลูมิน่า เป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้ารถหรูเมืองไทย ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ปัจจุบัน จีเอ็ม ประเทศไทย และเชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย มีการจัดจำหน่ายผ่านโชว์รูมและศูนย์บริการของเชฟโรเลตกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ และภายในปี 2548 นี้จะเร่งขยายเครือข่ายให้ครบ 85 แห่งเพื่อรองรับตลาดที่โตขึ้นของเชฟโรเลต โดยเฉพาะในช่วงนี้ตลาดกระบะของโคโรลาโด กำลังได้รับความนิยมด้วยรูปลักษณ์ที่ แข็งแกร่งและบึกบึนสไตล์รถกระบะอเมริกัน

อีกทั้งการทุ่มงบลงทุนในส่วนของการสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าทำให้ชื่อของ โคโรลาโด  ติดตลาดแย่งแชร์ยอดขายจากเจ้าตลาดรถกระบะจากค่ายรถญี่ปุ่นไปไม่น้อย จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าอนาคตของ จีเอ็ม ประเทศไทย จะสามารถเทียบรัศมีกับค่ายรถญี่ปุ่นที่เข้ามาลุยตลาดรถยนต์เมืองไทยมากว่า 50 ปีแล้วได้หรือไม่ เพราะยักษ์ใหญ่จากอเมริกาหากจะขยับตัวแต่ละครั้งคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองเราคงพร้อมที่จะสนับสนุนเพราะ ธุรกิจสัญชาติอเมริกันย่อมรู้ได้อยู่แล้วว่าไม่ยอมอะไรง่ายๆ

ปัญหาหลักตอนนี้ของจีเอ็ม คือ จะทำอย่างไรให้ภาพลบในอดีตของตัวโปรดักท์นั้นเลือนหายไปจากความทรงจำของคนไทย และจะสร้างความมั่นใจกับโปรดักท์ได้มากแค่ไหน เพราะกระแสความบกพร่องของโปรดักท์มีออกมาให้เห็นเป็นระลอก แม้ว่าจะเกิดจากความบกพร่องของจีเอ็มเองหรือไม่ก็ตาม แต่กระแสที่ออกมาแน่นอนส่งผลต่อกระทบภาพลักษณ์ของจีเอ็มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…..

อนึ่งบริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (จีเอ็ม) สหรัฐอเมริกา นับเป็นบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจีเอ็มได้ผลิตรถยนต์ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ บูอิค , คาดิแลค , เชฟโรเลต , จีเอ็มซี , ฮัมเมอร์ , โฮลเด้น , โอเปิล , โฮลส์โมบิล , ปอนติแอค , แซทเทิร์น , ซาบ , และวอกซ์ฮอลล์ นอกจากนี้จีเอ็มยังเข้าไปถือหุ้นในบริษัทรถยนต์อื่นๆคือ จีเอ็มดีเอที (42 %) อีซูซุ (12%) ซูบารุ (20%) ซูซูกิ (20%) และเฟียต (20%)
กำลังโหลดความคิดเห็น