“ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” สโลแกนนี้คงจะคุ้นหูหลายๆคน เพราะเป็นสโลแกนของยนตรกรรมสัญชาติสวีเดน “วอลโว่” ที่ทำตลาดอยู่ในเมืองไทยมานาน วอลโว่เป็นรถยนต์ที่จัดอยู่ในระดับรถหรูอีกยี่ห้อหนึ่งในเมืองไทย ซึ่งเป็นรถที่มีคุณภาพและสมรรถนะที่ถือว่าใช้ได้ไม่น้อยหน้ารถหรูจากเยอรมัน แต่ด้วยเรื่องของอิมเมจที่ไม่ค่อยได้มีการสร้างอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของราคาอะไหล่และศูนย์บริการที่ค่อนข้างน้อย ทำให้รถยนต์วอลโว่ไม่ค่อยได้รับความนิยมอย่างเจ้าตลาดรถหรู เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยูสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงมีกลุ่มลูกค้าแฟนพันธุ์แท้และผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรมของวอลโว่เป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้วอลโว่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดเมืองไทยได้ถึงปัจจุบัน
และถ้าหากจะกล่าวถึงตัวโปรดักท์ของวอลโว่แล้ว ทางบริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็พยายามที่จะนำโปรดักท์รุ่นใหม่ๆเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย (เท่าที่จะทำได้) มาโดยตลอด ล่าสุดจากสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงกรอบภาษีสรรพสามิตที่วัดจากขนาดของเครื่องยนต์ ทำให้วอลโว่ต้องเปลี่ยนแผนนำเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เข้ามาวางให้กับรถตัวขายทั้ง 3 รุ่น คือ S60 , S80 และ V70 ตอบสนองกับสภาพตลาดที่ต้องการความประหยัดรวมถึงราคาที่จะปรับลงจากอัตราภาษีที่ต่ำลงด้วย
“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้มีโอกาสทดลองขับรถทั้ง 3 รุ่น จากการเชื้อเชิญของ วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) โดยใช้เส้นทางกรุงเทพ-จันทบุรี ไปกลับบนระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร แม้ว่าจะได้ขับรุ่นละประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร แต่คงจะทำให้จับความรู้สึกใหม่ๆกับเครื่องยนต์ตัวใหม่ได้พอสมควร (ถ้าได้สัมผัสกับแบบเต็มๆ น่าจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่านี้) ผู้ทดลองขับจึงขอเสนอข้อมูลบ้างส่วนของรถทั้ง 3 รุ่นในการทดลองขับแบบสั้นๆ เผื่อจะเป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆเพิ่มให้กับผู้อ่านที่สนใจรถทั้ง 3 รุ่นดังกล่าวแต่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริง
จุดเด่นของรถทั้ง 3 รุ่นที่ได้มีการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงที่สำคัญที่สุดนั้นคือ ขุมพลังตัวใหม่ ที่วอลโว่นั้นนำมาวางไว้ในรถทั้งรุ่น S60 , S80 และ V70 ผู้ทดลองขับจึงขอกล่าวถึงรายละเอียดของเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ก่อน สำหรับขุมพลังใหม่รุ่นนี้เป็น เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบแรงดันต่ำ ขนาด 2,000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 5,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 1,850 ไปจนถึง 5,000 รอบต่อนาที ซึ่งช่วงแรงบิดที่กว้างเช่นนี้จะส่งผลให้การขับขี่ง่ายขึ้น ให้อัตราเร่งตามสเป็คจาก 0-100 กม./ชม. 9.8 วินาที
นอกจากนั้นยังมีการเสริมอุปกรณ์ใหม่ๆเข้าไปในรถแต่ละรุ่นซึ่งรายละเอียดของอุปกรณ์ต่างๆที่เพิ่มขึ้นมานนั้นมีดังตารางที่แสดงต่อไปนี้
อุปกรณ์ที่เพิ่มเติม | S80 | S60 | V70 |
สวิทช์ควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) | # | # | # |
สวิทช์ล็อคป้องกันเด็กประตูหลัง | - | - | # |
กระจกมองข้างแบบลดน้ำเกาะ | # | # | # |
พนักพิงศรีษะเบาะหลังพับลงด้วยไฟฟ้า | # | # | - |
ระบบสัญญาณช่วยเข้าจอดหน้าและหลัง | # | # | # |
ใบบัดน้ำฝนแบบใหม่ | # | # | # |
หัวฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า | - | # | # |
วัสดุแผงหน้าปัทม์ลดการสะท้อนแสง | - | # | # |
ระบบกรองอากาศภายในรถ | # | # | # |
ล้ออัลลอยลายใหม่ | - | # | # |
คอนโซลหน้าและกลางดีไซน์ใหม่ | - | # | # |
ระบบเครื่องเสียงใหม่ | - | - | # |
ปรับปรุงโคมไฟหน้าและด้านท้ายใหม่ | - | # | # |
ในการทดลองขับครั้งนี้ก็คงจะกล่าวถึงเครื่องยนต์ใหม่ที่นำมาวางไว้ในรุ่นต่างๆว่าเหมาะสมกับลักษณะและตัวของรถในแต่ละรุ่นว่าเหมาะสมมากน้อยแค่ไหนและให้สมรรถนะอย่างไรเมื่ออยู่ในรถทั้ง 3 รุ่น ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกนั้นไม่ขอกล่าวถึงเพราะเป็นการไมเนอร์เชนจ์ที่ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และอุปกรณ์เสริมต่างๆมากกว่า เพราะในเรื่องของรูปลักษณ์ หากใครที่สนใจเรื่องของรถหรือติดตามข่าวสารด้านแวดวงยานยนต์คงจะพอนึกออกว่ารูปทรงเป็นอย่างไร และคงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนัก เพราะในปัจจุบันรูปทรงของวอลโว่นั้นได้ปรับเปลี่ยนจากทรงกล่องเดิมๆเพิ่มความโค้งมนลบเหลี่ยมไปพักใหญ่แล้ว (แต่ดูเหมือนว่าจะการลบเหลี่ยมครั้งนี้จะไม่สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆของวอลโว่สักเท่าไหร่นัก ด้านหน้านั้นโอเคสวยงามลงตัว แต่ด้านหลังนั้นในสายตาของผู้ลองขับแล้ว มองยังไงก็ไม่ชอบ ซึ่งจากการพูดคุยกับหลายคนที่ได้เห็นรูปทรงของวอลโว่ในการเปลี่ยนโฉมโมเดลทั้งหมดในครั้งแรกต่างรู้สึกแปลกๆเช่นกัน แต่นี่คือความคิดเห็นของผู้ทดลองขับเท่านั้นนะครับ เพราะดูเหมือนว่าจะมีหลายคนที่ชอบกับความแปลกตรงนี้ไม่น้อยเช่นกัน)
ในการลองขับรุ่นแรกที่ได้สัมผัส ถือว่าเป็นรถรุ่นท็อปสุดในรถทั้ง 3 รุ่นที่ได้ทดลองขับในครั้งนี้ คือ วอลโว่ S80 เป็นรุ่นใหญ่สุดที่นำมาวางเครื่องยนต์ตัวใหม่ เรื่องของความหรูหราภายใน หรือความกว้างขวางของห้องโดยสารนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้วกับรถระดับนี้ เพราะมีมาให้พร้อมสรรพ แต่ในส่วนของสมรรถนะการขับขี่ในความรู้สึกของผู้ลองขับ แม้ว่าเครื่องยนต์จะมีขนาดแค่ 2,000 ซีซี แต่ก็สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม การออกตัวอาจจะไม่ปรู๊ดปราดสะใจวัยโจ๋สักเท่าไหร่ (ก็รุ่นนี้วอลโว่ไม่ได้คิดว่าจะมาขายวัยรุ่นอยู่แล้วเน้นระดับผู้บริหาร เน้นความนิ่มนวลไว้ก่อน) เพราะขนาดของตัวถังที่ค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมากอาจจะมีความรู้สึกว่าอืดบ้างในช่วงต้น แต่หลังจากที่วิ่งระยะทางยาวๆแล้ว เครื่องยนต์ใหม่ตอบสนองในการขับขี่ได้อย่างดี
ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบสปริงสตรัท ด้านหลังแบบมัลติลิงก์ ให้ความนิ่มนวลในการขับขี่ ในบางครั้งอาจจะรู้สึกการโยนตัวของรถในขณะเข้าโค้งบ้าง ความเร็วสูงสุดในระยะทางตรงๆ ผู้ทดลองขับสามารถทำได้ประมาณ 200 กม./ชม. ซึ่งก็ใกล้เคียงกับสเป็คในโบชัวร์ที่วอลโว่ว่าเอาไว้
บทสรุปของ S80 กับการวางเครื่องใหม่ตัวนี้ หากถามว่าเหมาะสมหรือไม่ ขอบอกว่าจากขนาดและน้ำหนักของตัวถังอาจจะดูว่าเครื่องยนต์นั้นเล็กเกินไป โดยเฉพาะถ้าการใช้ส่วนใหญ่วิ่งอยู่ในเมือง เพราะหากต้องมีการออกตัวรถบ่อยๆ บนถนนที่มีการจราจรติดขัดอย่างในเมืองหลวง เรื่องของการสิ้นเปลืองคงไม่ต่างกับเครื่อง 2,400 ซีซี มากนัก หรือบางครั้งอาจจะสูงกว่าก็เป็นได้ แต่ถ้าวิ่งนอกเมืองหรือต่างจังหวัดนั้นถือว่าทำได้ดี วิ่งกันในความเร็วสบายๆ 140-160 กม./ชม.ไปเรื่อยๆถือว่าให้ความสะดวกสบายได้อย่างดี
สำหรับในรุ่น S60 ซึ่งเป็นซีดานที่รองลงมาจากรุ่น S80 ดูมีความเป็นสปอร์ตซีดานมากกว่า ความหรูหราภายในและอุปกรณ์บางอย่างที่มีน้อยกว่า และนำมาวางเครื่องนี้เช่นกัน ด้วยขนาดและน้ำหนักของตัวถังที่เล็กกว่ากับเครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี ถือว่าเหมาะสมที่สุดหากเปรียบเทียบกับรถอีก 2 รุ่นที่นำเครื่องใหม่มาวางดังกล่าว เพราะในการขับ S60 ต่อจาก การขับ S80 บอกได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างได้ทันที การออกตัวที่มีความปรู๊ดปร๊าด กดคันเร่งปุ๊บมาปั๊บ น่าจะสะใจวัยรุ่นได้พอสมควร อัตราการเร่งแซงนั้นขึ้นเร็วกว่าในรุ่น S80 แต่ความเร็วสูงสุดนั้นไม่แตกต่างมากนั้นเพียงแต่ระยะเวลาในการไต่ระดับถึง 200 กม./ชม.นั้นเร็วกว่า
ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในความรู้สึกของผู้ลองขับคือเรื่องของความนุ่มนวล หากดูจากสเป็คที่วอลโว่ให้มาแล้ว ระบบช่วงล่างของ S60กับ S80 ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ยังเป็นแบบสปริงสตรัทด้านหน้า และ มัลติลิงก์ด้านหลัง แต่เมื่อลองขับในรุ่น S60 นั้นให้ความรู้สึกกระด้างมากกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทางวอลโว่ได้ปรับแต่งช่วงล่างตรงจุดไหนเพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความรู้สึกถึงความเป็นซีดานสปอร์ตหรือเปล่า ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากตัวถังที่มีน้ำหนักเบาขึ้น และความรู้สึกของผู้ลองขับนั้นยังติดกับความนิ่มนวลของ S80 อยู่ก็เป็นไปได้ ตรงจุดนี้ยังไม่ขอยืนยัน
บทสรุปของ S60 ก็เป็นอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า บอดี้มีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ใหม่นี้มากที่สุดในรถทั้ง 3 รุ่น มั่นใจในเรื่องของอัตราเร่ง และการยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี ส่วนในเรื่องของอุปกรณ์ความสะดวกสบายต่างๆภายในนั้นอย่างที่บอกว่าครบครัน
ส่วนในรุ่น V70 รถแวนของวอลโว่ ซึ่งถือว่าเป็นรถอีกเซ็กเมนต์หนึ่งที่เป็น ดาวเด่นของรถสัญชาติสวีเดนรายนี้ เพราะหากคิดถึงรถแวนหลายคนจะคิดถึงวอลโว่เป็นอันดับต้นๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูหรูหราผนวกกับพื้นที่ใช้สอยภายในรถรวมถึงรถในเซ็กเมนต์นี้ไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ในตลาดรถยนต์เมืองไทย ส่งผลให้รถแวนของวอลโว่ยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการรถที่มีพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ มากกว่ารถยนต์ซีดานทั่วไป
สำหรับเครื่องยนต์ตัวใหม่ 2,000 ซีซี เทอร์โบแรงดันต่ำเมื่อนำมาวางในรุ่น V70 ในความคิดเห็นของผู้ทดลองขับมีความรู้สึกว่าช่วงต้นอืดไม่แตกต่างจากรุ่น V80 แม้ว่าจะเป็นรถแวนหากมองภายนอกแล้วจะดูยาวกว่ารุ่น V80 แต่ในความเป็นจริงนั้นสั้นและเล็กกว่านิดหน่อย เครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซีจึงคิดว่าน่าจะเล็กไปสักหน่อยสำหรับบอดี้ขนาดนี้ อย่างที่ว่าอาจจะส่งผลต่อการกินน้ำมันหรือเปล่ากับการใช้งานในเมือง แต่ในระยะทางไกลแล้วขอบอกว่าใช้งานได้ดี
แม้ว่าจะใช้ระบบช่วงล่างเดียวกันทั้ง 3 รุ่น แต่ด้วยความที่เป็นรถแวนน้ำหนักด้านหลังอาจจะมีแรงกดด้านท้ายมากกว่ารถซีดาน ทำให้รู้สึกว่าการยึดเกาะถนนจะดีกว่ารุ่นซีดาน การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงให้ความมั่นใจได้ดี
หากถามผู้ทดลองขับแล้วนั้นมีความรู้สึกชอบรถประเภทนี้อยู่แล้วด้วยรูปทรงของรถและความอเนกประสงค์ของพื้นที่ใช้สอยภายในรถ เพราะอย่างน้อยเวลาฝนตกหากต้องการหยิบใช้สอยของที่เก็บไว้ด้านหลังก็ไม่ต้องลงจากรถเหมือนรุ่นซีดาน อีกทั้งสัมภาระที่มีขนาดยาวรถประเภทนี้ก็สามารถพับเบาะลงเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อีก
แต่หลายคนอาจจะมองในจุดที่คนอาจจะมองข้ามนั้นคือเรื่องของ สัมภาระที่มีกลิ่นคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่สำหรับรถประเภทนี้ อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เรื่องของความหรูหราและอุปกรณ์ภายในคงไม่ต้องพูดถึงกันมีครบครันอย่างที่บอก
สิ่งที่ขอติติงอย่างหนึ่งของรถทั้ง 3 รุ่น แม้ว่าจะเป็นจุดเล็กน้อย หลายคนอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ความรู้สึกของผู้ทดลองขับเอง มีความรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย นั้นคือ ระบบสัญญาณช่วยเข้าจอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่ติดตั้งในรถทั้ง 3 รุ่น เพราะรู้สึกว่าเซ็นเซอร์จะไวต่อความรู้สึกเอามากๆ ซึ่งในการใช้งานแล้วเป็นอุปกรณ์ที่ดีมากอย่างหนึ่งเพราะในการเข้าจอดรถการมีเสียงเซ็นเซอร์คอยบอกว่าเข้าใกล้สิ่งกีดขวางด้วยความถี่ของเสียงที่ดังขึ้นนั้นส่งผลให้ผู้ขับขี่มีความระมัดระวังและสะดวกสบายในการจดในที่แคบๆ แต่เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในรถทั้ง 3 รุ่น ดูเหมือนว่าจะลิงค์กับวิทยุที่ติดตั้งภายในรถ หากเข้าใกล้สิ่งกีดขวางในระยะ 80 ซม.สำหรับด้านหน้าและ 150 ซม. สำหรับด้านหลัง จะมีเสียงเตือนดังขึ้น โดยระบบวิทยุจะตัดการทำงานทันทีและจะเป็นเสียงเตือนขึ้นมาแทน
ในการเข้าจอดก็ดีอยู่หรอก แต่ในการใช้งานในเมืองชีวิตจริง ขณะที่ติดไฟแดงในเมืองหลวง เป็นที่รู้กันอยู่ว่าเมืองไทยมอเตอร์ไซค์นั้น วิ่งกันให้เกลื่อนเมือง ในขณะที่รถติดบรรดามอเตอร์ไซค์ก็จะวิ่งซอกแซกไปตามช่องว่างระหว่างรถยนต์ที่จอดรออยู่ ซึ่งตอนแรกผู้ลองขับก็ไม่ได้คิดอะไรฟังเพลงสบายๆอยู่ดีๆยามรถติด อยู่ดีๆวิทยุตัดเป็นเสียงเตือน ดัง..ตุ๊ด..ตุ๊ด.. โดยตัดเสียงเพลงหายไป ตอนแรกก็นึกว่าเป็นปัญหาของทางสถานีวิทยุ แต่พอเปลี่ยนคลื่นก็ยังเป็นเหมือนเดิม จึงสงสัยมองไปที่วิทยุก็มีตัวอักษรบอกว่าเป็นระบบเตือนการจอด ก็เลยพึ่งถึงบางอ้อว่า เสียงดังกล่าวเกิดจากอะไร คงเป็นเพราะบรรดามอเตอร์ไซค์ที่ซอกแซกอยู่ข้างรถวิ่งผ่านเจ้าตัวเซ็นเซอร์นี่เอง เลยนึกเล่นๆว่าหากเราเว้นช่องไว้สะดวกกว่านี้อีกนิดแต่ไม่เกินระยะของเซ็นเซอร์ บรรดารถมอเตอร์ไซค์คงวิ่งผ่านเราอีกหลายคัน คราวนี้คงฟังเพลงไม่รู้เรื่องกันแน่ๆ แต่นี่เป็นปัญหาเล็กน้อยๆที่ผู้ลองขับรู้สึกเองเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ดี อุปกรณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่เสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่รวมถึงตัวรถ ปัญหาแค่นี้คงเป็นจุดเล็กน้อย เพียงแต่ผู้ลองขับนำขึ้นมาบอกกล่าวเท่านั้น
บทสรุปของการลองขับรถวอลโว่ทั้ง S80 ,S60 และ V70 ในครั้งนี้ ถือว่ารถทั้ง 3 รุ่นที่นำมาวางเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี นั้น ถ้าจะว่ากันในเรื่องของราคา ก็คงจะถือว่าเป็นการดีสำหรับผู้บริโภค แต่ถ้าจะถามถึงในเรื่องของการประหยัดน้ำมันขึ้นหรือไม่นั้นมันมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นตัวรถเอง หรือลักษณะการขับขี่ ตรงนี้ผู้ลองขับไม่สามารถฟันธงได้ แต่ถ้าหากจะถามถึงความรู้สึกหรือให้บอกข้อดีข้อเสียมากกว่านี้คงไม่ได้ เพราะว่ากันไปแล้วเวลาที่ได้สัมผัสกับตัวรถนั้นค่อนข้างจะน้อย ด้วยระยะเวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมงในการขับรถ 3 รุ่น (และแต่ละคันต่างเร่งรีบที่จะขับให้ถึงและรีบที่จะกลับสมาธิจึงไปอยู่ที่การขับขี่เป็นส่วนใหญ่ คงจะจับข้อดีและข้อด้อยได้ไม่มากนัก หากในครั้งหน้ามีโอกาสได้สัมผัสใกล้ชิดและนานกว่านี้ก็คงจะบอกข้อดีข้อเสีย(จับผิด)ได้มากกว่านี้ครับ