ในปี 2507 ดร.ถาวร ได้ตัดสินใจขยายธุรกิจของสยามกลการไปสู่การผลิตรถจักรยานยนต์ โดยจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่คือ บริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด โดยได้ของรับการส่งเสริมการลงทุนจากทางภาครัฐ และได้ร่วมหุ้นกับบริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งโรงานประกอบรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า โดยสยามกลการถือหุ้นใหญ่ 70 % และยามาฮ่ามอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น 30 % โดยอยู่ในรูปของการช่วยเหลือทางด้านเทคนิคการผลิตและจัดฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับช่างและแรงงานของไทย
บริษัท สยามยามาฮ่า จำกัดได้ใช้เวลาในการพัฒนาระบบเพียงแค่ 7 ปี ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวเองซึ่งทางยามาฮ่า ประเทศญี่ปุ่นเองจึงขายหุ้นทั้ง 30 % คืนให้กับสยามกลการ แต่ยังคงได้รับการประสานความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากประเทศญี่ปุ่นอยู่ การขยายตัวของธุรกิจอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ดร.ถาวรจึงได้ตัดสินใจสร้างโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าแห่งที่สองบริเวณนิคมอุตสาหกรรม กม.21 ในปี 2521 และมีกำลังการผลิตได้ถึงเดือนละ 10,000 – 14,000 คัน
ในขณะเดียวกัน ดร.ถาวร ยังได้หันกลับมาตัดสินใจขยายการประกอบอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดเล็กขึ้นด้วย ทั้งรถยนต์นั่ง รถกระบะเล็ก และรถจี๊ปซูซูกิ โดยจัดตั้งบริษัท สยามอินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของสยามกลการ มาดำเนินธุนกิจรถยนต์ขนาดเล็ก รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังชิ้นส่วยยานยนต์คือ แบตเตอรี่โดยจัดตั้งบริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่จำกัด
ต่อมาในปี 2514 ภายหลังรัฐบาลปรับปรุงนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ มีนโยบายบังคับให้ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์จะต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศไม่น้อยกว่า 25 % พร้อมการขึ้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ ดร.ถาวรจึงเร่งขยายธุรกิจการผลิตชิ้นส่วน โดยในปี 2518 ได้ซื้อที่ดินเพื่อจัดทำเป็นนิคมอุตสาหกรรมของสยามกลการและธุรกิจของบริษัทในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กม.21-22 บนเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ใช้เป็นพื้นที่จัดตั้งธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด นอกจากนี้ยังหันมาขยายการจัดตั้งธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนบางประเภท เพื่อสนองตอบนโยบายใหม่ของรัฐบาล
นอกจากนั้นสยามกลการ ยังได้ปฎิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยด้วยการเปิดโรงานผลิตชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์แห่งแรกของประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้นบริเวณถนนบางนา-ตราด กม.32 อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยีวิวัฒนาการด้านการผลิตชิ้นส่วนจากต่างประเทศ จนสามารถออกแบบแม่พิมพ์และผลิตแม่พิมพ์ส่งให้โรงงานประกอบรถยนต์แห่งอื่นได้ และยังได้ขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์อย่างเต็มตัว ทั้งการนำเข้ามาจำหน่ายและเปิดโรงงานผลิตภายในประเทศโดยการร่วมทุนกับต่างชาติ อาทิ โรงงานผลิตแหวนลูกสูบริเก้น ในนามของบริษัท สยามริคเก้น อินดัสเตรียล จำกัด บริษัท อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย จำกัด ผลิตเครื่องยนต์ให้กับนิสสันและซูซูกิในประเทศไทย เป็นต้น
ธุรกิจในกลุ่มของสยามกลการขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จนมาถึงในทศวรรษ 2530 สยามกลการมีเครือข่ายธุรกิจถึง 37 บริษัท โดยครอบคลุมอุตสาหกรรมยานยนต์จนครบวงจร ควบคู่ไปกับธุรกิจทางด้านอื่นโดยแบ่งออกตลาดลักษณะการดำเนินธุรกิจได้เป็น 5 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต
2. บริษัทการค้า
3. กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว
4. กลุ่มธุรกิจดนตรีและดนตรีศึกษา
5. กลุ่มสถาบันการเงินและการประกันภัย
และได้เพิ่มขึ้นเป็น 40 กว่าบริษัทจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบริษัทในเครือสยามกลการทั้งหมดได้เกิดจากความสามารถและวิสัยทัศน์ของ ดร.ถาวร พรประภา เพียงผู้เดียว ซึ่งถือได้ว่าท่านเป็นปูชนียบุคคลแห่งวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอีกท่านหนึ่ง (ติดตามตอนที่ 3)