ย้อนรอยตำนานชีวิต “ปราจิน เอี่ยมลำเนา” เริ่มที่จังหวัดปราจีนบุรี สถานที่เกิด อันนำมาสู่ชื่อ “ปราจิน” ซึ่งผู้เป็นพ่อต้องการให้ชื่อของทายาทบอกถึงแหล่งกำเนิด เช่นเดียวกับพี่ชายของปราจิน เกิดที่จังหวัดชัยนาท ผู้เป็นพ่อก็ตั้งชื่อให้ว่า “ชัยนาท” แต่ภายหลังเจ้าตัวเปลี่ยนชื่อเป็น “ส่งเสริม”
คุณพ่อม้วน บิดาของปราจิน เป็นเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ชีวิตของข้าราชการไทย ไม่พ้นต้องระเหเร่ร่อน สุดแต่คำสั่งของผู้บังคับบัญชาจะจับโยกย้ายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ แห่งหนตำบลใด
หลังเด็กชายปราจิน หรือ ตุ่น อันเป็นชื่อเล่น กำเนิดไม่พ้น 6 เดือน คุณพ่อม้วนก็จำต้องโยกย้ายไปปฏิบัติราชการที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี่เอง ครอบครัว “เอี่ยมลำเนา” ได้ตัดสินใจยึดเป็นแหล่งพำนักถาวร
คุณแม่ทับทิมผู้เป็นมารดา รู้ดีว่าชีวิตข้าราชการ กับครอบครัวใหญ่มีลูกมากถึง 8 คน เป็นภาระหนักเอาการ คุณแม่ทับทิมจึงช่วยกันแบ่งเบาภาระของครอบครัวด้วยการเปิดร้านขายเสื้อผ้า จากการบอกเล่าของปราจิน คุณแม่ทับทิมน่าจะเป็นผู้หญิงที่คล่องแคล่วและชำนาญในเรื่องค้าขาย เป็นกำลังเสริมของครอบครัวที่สำคัญทีเดียว
“คุณแม่ทำอาชีพเสริม คือ ค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งต้องนั่งจากอยุธยามาซื้อที่โบ๊เบ๊ ต้องมาโดดรถไฟไม่จอดตรงนั้นเนื่องจากไม่มีสถานี แต่ระหว่างผ่านนั้นรถไฟเพราะรถไฟก็จะชะลอ แม่ก็จะกระโดดลงมาเพื่อที่จะลงไปเลือกเสื้อผ้า และพอเลือกเสื้อผ้าเสร็จก็ให้รถขนมาที่หัวลำโพง เพื่อมาขึ้นรถไฟกลับตอนประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมง อาทิตย์หนึ่งก็ซื้อสักครั้งหนึ่ง แล้วก็มาขายให้กับชาวบ้านที่อยู่ต่างอำเภอ เพราะว่าเราอยู่ที่ตัวเมือง แล้วก็มีแผงขาย คือเราเซ้งจากเทศบาลเอาไว้ หลังจากผมเลิกเรียนแล้ว
ตอนปิดเทอมก็ต้องมาช่วยเก็บร้าน มาดูแล กลางคืนก็มานอนเฝ้า แต่บางทีก็ไม่ต้องเฝ้าเพราะมีแผงปิดอยู่ เพราะฉะนั้นความสนใจในเรื่องการค้าขายเราก็เริ่มมีเริ่มเห็น โดยถามว่าคนไทยในยุคนั้นที่จะค้าขายมีน้อย ส่วนมากจะรับราชการกันหมด พี่สาวผมคนโตก็ค้าขายอยู่ใกล้กับร้านแม่ ได้สามีเขาก็ค้าขาย จนตอนนี้ก็มีร้านใหญ่โตอยู่ที่อยุธยา ขายทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ แต่ของแม่ พออายุมากก็ปิดไป
ชีวิตของ “ปราจิน” ได้รับการหล่อหลอมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดินแดนซึ่งเคยเป็นราชธานีของไทย ดินแดนของนักสู้ เติบโต เล่าเรียนใช้ชีวิตในวัยเด็ก วัยรุ่นแตกเนื้อหนุ่ม จนกระทั่งเรียนจบ ม.6
ปราจินเล่าว่า ตัวเองเป็นเด็กฉลาด หัวค่อนข้างไบรท์ เข้าสู่การศึกษาในระบบครั้งแรกก็กระโดดข้ามไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในชั้นอนุบาล โรงเรียนอรุณประเสริฐ คือตักศิลาแห่งแรกของเขา
“พอเข้าไปเรียนก็เรียน ป.1 เลยไม่ต้องเรียนอนุบาล เพราะตอนนั้นเล็กๆ เป็นเด็กค่อนข้างฉลาด พอตอน ป.2 สอบได้ 90 กว่า ขึ้นมาเรียน ป.4 เลย จบ ป.4 ปุ๊บก็ไปสอบเข้าที่โรงเรียนประจำจังหวัด คือโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ก็เรียน ม.1 ถึง ม.6 การเรียนตอน ม.1-ม.2 ก็โอเคดี ตั้งแต่ ม.3 ไปเราไม่ค่อยได้คบเพื่อน ตอนเด็กๆ ที่บ้านเลี้ยงฉลองแบบค่อนข้างจะเข้มงวดหน่อย ไม่ให้เที่ยว ไม่ให้ซน”
พี่น้องหญิง-ชายของปราจินมีถึง 8 คน เขาเป็นคนที่ 6 ถือเป็นลูกผู้ชายคนเล็ก คุณพ่อม้วน-คุณแม่ทับทิมจึงค่อนข้างจะเข้มงวดเป็นพิเศษ ขนาดเวลามีหนังกลางแปลงมาฉายคุณพ่อม้วนยังห้ามด้วยเหตุผลว่ากุ๊ยเยอะ หากต้องการดูก็ต้องไปดูในโรงหนังที่เสียค่าผ่านประตู
“ตอนเราเด็กๆ อยู่ที่อยุธยาน่ะ บ้านข้าราชการจะอยู่ติดๆกัน เลยไปอีกหน่อย จะมีบ้านของนายตำรวจ คือเขาตั้งบ่อน ลูกเขาก็ไล่เลี่ยกับผม ก็เป็นเพื่อนกัน ก็ติดการพนันทุกอย่าง อย่างเล่นไพ่เล่นเล่นไฮโล พ่อก็สั่งห้ามผมไปเล่นบ้านนั้น แม้แต่เข้าไปในบ้านนั้นก็ไม่ได้ เพราะเขาเล่นการพนันกันทั้งบ้าน ถ้าอยากให้เพื่อนมาเล่นก็มาเล่นบ้านเรา แล้วไอ้เพื่อนผมคนนั้นแจกไพ่ ไฮโลมันเป็นหมด นี่คือผู้ใหญ่ เขามองเห็น เขาสั่งห้าม เราก็ค่อนข้างเชื่อเพราะว่าถ้าไม่ทำ เขาตีจริงๆ พ่อผมเป็นคนดุ แม้แต่ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำป่าสักยังห้ามไม่ให้ผมว่าย ผมก็แอบว่ายไปแล้วผมก็รีบว่ายกลับ ไม่กล้าไปเล่นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะมันมีแพซุงและโรงเลื่อย ระหว่างว่ายกลับ มีคนไปฟ้อง พ่อผมเลยต้องลงมาตี”
เวลาคุณพ่อม้วน “ลงไม้” เป็นที่รับรู้ของบรรดาลูกๆว่า “ทั้งเจ็บทั้งจำ” งานที่คุณพ่อม้วนทำเกี่ยวข้องกับการจับบุหรี่เถื่อน เหล้าเถื่อน ฝิ่น วิ่งขึ้นล่องระหว่างอยุธยา นครสวรรค์ แต่กฎเหล็กข้อห้ามของคุณพ่อม้วนสำหรับลูกชายวัยคะนอง วัยแห่งการอยากรู้อยากเห็น ก็คือ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเหล้าบุหรี่เป็นอันขาด แม้ว่าพ่อจะทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่
ปราจินเล่าว่า แม้พ่อห้ามเป็นกฎเหล็ก แต่โดยนิสัยส่วนตัวเขาก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้องมันแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามชีวิตวัยคะนองก็ย่อมมีการแสดงออกบ้างเป็นบางครั้งคราว ปราจินแม้จะแอบตวงเหล้า หยิบบุหรี่ที่อยู่เต็มบ้านไป “บำเรอ” แก่เพื่อนฝูงที่มีอายุมากกว่า จนกระทั่งบรรดาเพื่อนฝูงต่างให้ความเกรงอกเกรงใจ
“พ่อจับเหล้ามาเป็นไหๆ ไว้ใต้ถุนบ้านเต็มไปหมด จับผู้ต้องหาไม่ได้ก็ต้องขนของพวกนี้มา ผมพอตอนเรียนอยู่ ม.5-ม.6 ก็เอาแบ่งใส่ขวดไปให้เพื่อน บุหรี่ที่เขาเหลือ ก็มีบุหรี่กาลิคอะไรพวกนี้ มวนโตๆ ในกระป๋อง เหลือมา 4-5 มวน ผมก็ขอ พ่อก็ถาม บอกเอาไปแจกเพื่อน เพื่อนผมสูบแต่ตราฆ้อง พอวันไหนได้บุหรี่กาลิคหรือสิงโตหมอบ โอ้โห...พระเจ้ามาโปรด บางวันผมเอาเหล้าใส่ขวดไปให้เอาใจเขา เพราะเพื่อนๆ เขาโตๆ กันทั้งนั้น ตอนผมจบ ม.6 ผมก็เป็นเด็กชาย อายุ 14 ปี ก็อายุน้อยที่สุด เพื่อนเขาจบ ม.6 ตอนนั้นอายุประมาณ 16 หรือบางคนก็อายุ 18 ผมจบ ม.6 อายุ 14 ระหว่างที่เรียนตอนนั้นเป็นเด็กตัวเล็กมาก แล้วผมก็มีใจให้เพื่อนอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเพื่อนที่ตัวโตๆ ก็จะเกรงใจ แต่ผมไม่เคยแตะเลยของพวกนี้”
“การให้คือการสร้างบารมี” โดยแท้!จวบจนบัดนี้ปราจินก็ยังถือคตินี้ “คนเราใจถึง-เงินถึง-บารมีก็มา ใจถึง เงินไม่มี บารมีก็ไม่มา”
คลังข้อมูลผู้จัดการ:
ปราจิน เอี่ยมลำเนา