"สวย ดุ สปอร์ต และไม่เล็ก" คือคำนิยามสำหรับ “A-Class Gen.2” รถอนุกรมเล็กสุดรุ่นใหม่จากค่ายรถหรูเจ้าของโลโก้ดาว 3 แฉก “Mercedes-Benz”
A-Class ใหม่ รหัส W169 เพิ่งจะออกมาทำตลาดในปีนี้เป็นปีแรก และเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของรถอนุกรมเล็กสุดของเบนซ์หลังจากปล่อยให้รุ่นแรกทำตลาดมานานกว่า 7 ปี ภายนอกสวย ดุ และสปอร์ต ไฟคู่หน้าได้รับการดีไซน์ใหม่ เรียวเล็กลงเหมือนตาเหยี่ยว รับกับกระจังหน้าโครเมียมลายเอกลักษณ์ที่บางลงกว่าเดิม เสริมด้วยกันชนหน้าสไตล์สปอร์ต แบ่งช่องรับลมออกเป็น 3 ช่อง ตรงกลาง 1 ช่องใหญ่กับด้านข้าง 2 ช่องเล็ก โดยแบ่งพื้นที่บางส่วนให้เป็นที่อยู่ของไฟตัดหมอกคู่จิ๋ว และคล้ายๆจะมีสปอยเลอร์ในตัวนิดๆ ดูสวยงาม
การออกแบบด้านหน้าได้รับอิทธิพลมาจากสปอร์ตรุ่นเล็ก SLK ไม่น้อย รวมไปถึงเส้นสายข้างลำตัว ที่นอกจากจะทำให้ตัวรถดูไหลลื่นตั้งแต่หัวจรดท้าย ให้ความรู้สึกปราดเปรียวกระฉับกระเฉงแล้ว ยังทำให้รถมีกล้ามเนื้อ รับรู้ได้ถึงความมั่นคง แข็งแกร่ง และความแรงที่แฝงอยู่ภายในด้วย ส่วนด้านหลังก็ถูกปรับเปลี่ยนจากสไตล์เอ็มพีวีธรรมดาๆ ให้กลายเป็นแฮ็ตช์แบ็ค ด้วยการขยับเลื่อนเสาหลังไปอยู่ตรงท้ายรถ ไม่มาโผล่อยู่ครึ่งๆกลางๆให้สะดุดสายตาเหมือนเจเนอเรชั่นแรก โดยรวมแล้วลงตัวดีมาก ถึงขั้นว่ามองผ่านๆก็นึกว่ารถสปอร์ตได้เหมือนกัน
ภายในถูกออกแบบให้สุภาพเรียบง่ายตามสไตล์เบนซ์ ความหรูหราอยู่ในระดับกลางๆ คือสูงกว่ารถราคา 1 ล้าน แต่ไม่อลังการขนาดรถราคา 3 ล้าน ใช้โทนสีดำเป็นหลักเพื่อความขลังในแบบสปอร์ต คอนโซลกลางเป็นที่อยู่ของชุดควบคุมเครื่องเสียงและระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ที่ต้องใช้เวลาศึกษากันเล็กน้อยก่อนจะใช้งานได้อย่างถูกต้อง พวงมาลัยหุ้มหนังแท้เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่าปกติ แต่จับได้กระชับมือ พร้อมมัลติฟังก์ชั่น ปุ่มด้านซ้ายควบคุมการแสดงผลของคอมพิวเตอร์ออนบอร์ด ส่วนปุ่มด้านขวาควบคุมเครื่องเสียง
ตำแหน่งกระจกมองข้างอยู่ต่ำกว่ากระจกมองหลังมากไปนิด เข้าใจว่าเป็นผลจากการดีไซน์ให้ขอบประตูเทลาดลงไปทางด้านหน้ามากเป็นพิเศษเพื่อรับกับทรงลิ่มของตัวถัง เบาะนั่งเป็นทรงกึ่งสปอร์ต โอบกระชับลำตัวดี และไม่ถึงกับอึดอัด สามารถปรับตำแหน่งได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง เพราะฉะนั้นแล้วการหาตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการขับขี่จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด
คอนโซลเกียร์สไตล์ขั้นบันไดประดับขอบด้วยโครเมียมดูสวยงาม เช่นเดียวกับหน้าปัดที่มาพร้อมเกจวัด 4 วง ประดับขอบด้วยโครเมียม ด้านซ้ายขนาดเล็กแสดงอุณหภูมิเครื่องยนต์ ด้านขวาขนาดเล็กแสดงระดับเชื้อเพลิง กลางซ้ายขนาดใหญ่เป็นวัดรอบ และกลางขวาขนาดใหญ่สำหรับความเร็ว ตรงกลางเป็นที่อยู่ของหน้าจอแสดงผลคอมพิวเตอร์ออนบอร์ด รวมถึงตำแหน่งและโหมดการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ ควบคุมการแสดงผลที่พวงมาลัย ตัวอักษรและตัวเลขต่างๆแสดงผลในโทนสีอำพัน มองเห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันกลางคืน ดูโหดและหรูหราไปพร้อมๆกัน
ภายในกว้างขวางนั่งสบาย คนนั่งด้านหน้านั่งยืดขาสุด เข่าคนนั่งหลังก็ยังไม่ชนพนักเบาะหน้า แถมยังมีพื้นที่ให้ขยับขาได้อีกพอสมควร เบาะหลังกว้างนั่งได้ 3 คนแบบพอดีๆ ไหล่ไม่เกย หรือถ้าไม่นั่ง จะใช้วางของ ก็สามารถพับพนักเบาะหลังให้ราบลงเป็นพื้นเดียวกับที่เก็บของด้านหลังได้ ให้อรรถประโยชน์สูงสุด พื้นที่เฮดรูมเหลือเฟือ ปลอดโปร่งโล่งสบาย อันเป็นผลจากการออกแบบให้บอดี้ใหม่ยาวขึ้น 232 มม. กว้างขึ้น 45 มม. สูงขึ้น 6.0 มม. และเฉพาะช่วงเบาะหลังกว้างขึ้น 95 มม.
สตาร์ทเครื่อง
รถคันแรกที่ทาง “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้ขับเป็นรถ A-Class รุ่น A 200 Elegance ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 8 วาล์ว 2.0 ลิตร 136 แรงม้าที่ 5750 รอบต่อนาที และแรงบิด 185 นิวตันเมตรที่ 3500-4000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 9.6 วินาที และความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามสเปคจากโรงงาน เกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ (Autotronic CVT) 7 สปีด 3 โหมดการทำงาน Economy, Sport และ Manual
ทันทีที่ผลักคันเกียร์เข้าสู่ตำแหน่ง D โหมด Economy ตัวรถออกอาการกระตุกเล็กน้อยก่อนเคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล ในเส้นทางแคบๆบนที่จอดรถ พวงมาลัยให้การตอบสนองรวดเร็วและแม่นยำดีมาก น้ำหนักพวงมาลัยเบามือจนไม่ต้องออกแรงหักเลี้ยวกันมากนัก อันเป็นผลจากเทคโนโลยี Parameter Steering ปรับน้ำหนักพวงมาลัยตามความเร็วรถ
การตอบสนองที่รวดเร็วบวกกับน้ำหนักพวงมาลัยที่ค่อนข้างเบา ทำให้การขับขี่ในเมืองเป็นไปอย่างสบายๆ ไม่เครียด การหักเลี้ยวในพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัดทำได้ดี ช่วงรถที่ค่อนข้างสั้นทำให้ไม่ต้องนั่งลุ้นกันให้เหนื่อยว่าจะพ้นหรือไม่พ้น กำลังของเครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดดีตั้งแต่รอบต้นๆ ส่งผลให้ “เร่งขึ้น” น้ำหนักเบรคดีและ “เอาอยู่” ทำให้รู้สึกว่ารถคันนี้เหมาะแก่การ “มุด” เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่แนะนำ และ “ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง” ก็ไม่ได้กระทำการใดๆที่เข้าข่าย “มุด” เพราะมันอันตราย และจะเดือนร้อนถึงบรรพบุรุษเอาง่ายๆ
จะมาหงุดหงิดก็เรื่องช่วงล่างนี่แหละ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะทางเบนซ์เซ็ตมาสำหรับถนนในยุโรปหรือตั้งใจจะให้ได้ฟิลลิ่งแบบรถสปอร์ต เพราะอยู่ในระดับที่เรียกว่า “แข็งมาก” ยิ่งบวกกับยางแก้มเตี้ย 195/55 R16 ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ สภาพผิวถนนเป็นอย่างไร เรียบ/ไม่เรียบ ลอนเล็ก/ลอนใหญ่ คนขับรับรู้ได้หมด และอย่างชัดเจน ผ่านพวงมาลัยและตัวรถ ไม่เฉพาะกับคนขับเท่านั้น แม้แต่คนนั่งทั้งด้านหน้าด้านหลังก็ยังรับรู้ได้ และพูดเป็นเสียงเดียวกัน “แข็งผิดวิสัยเบนซ์”
บนไฮเวย์มุ่งหน้าสู่สระบุรี สภาพถนนค่อนข้างเรียบ สมรรถนะของรถทำให้สามารถเร่งแซงรถบรรทุกคันใหญ่ๆได้แบบไม่ต้องลุ้นหากเป็นถนนเลนสวน อัตราเร่งช่วง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ดี หรือจะเป็นช่วง 100-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ดีไม่แพ้กัน แถมยังมีกำลังเหลือพอจะทำความเร็วทะลุย่าน 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปได้แบบไม่เหนื่อยอีกด้วย ถือว่าเพียงพอสำหรับการเดินทางในประเทศที่กฎหมายกำหนดให้วิ่งได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!!!
ในโหมด Sport อัตราเร่งแซงช่วง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ดีกว่าโหมด Economy จากการที่สามารถลากรอบได้ยาวขึ้น แต่ทรมานเครื่องน่าดู เพราะรอบกวาดไปเกือบถึงเรดไลน์กว่าจะเปลี่ยนเกียร์ เหตุผลอีกอย่างที่ทำให้โหมด Sport ดูน่าสนใจน้อยลง ก็เพราะที่โหมดนี้ระบบช่วงล่างจะเซ็ตตัวแข็งขึ้นอีกระดับ จากที่แข็งอยู่แล้วก็ยิ่งแข็งขึ้นไปอีก ซึ่งไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่กับการใช้งานบนถนนเมืองไทย
มาลองเล่นกับ CVT 7 สปีดดูบ้าง อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เกียร์ 3 เลี้ยงรอบเครื่องที่ช่วง 4000-6000 รอบต่อนาทีซึ่งเป็นช่วงแรงบิดสูงสุด รู้สึกได้ถึงแรงดึง ชัดเจนกว่าเกียร์ D โหมด Economy เยอะ อัตราเร่งช่วง 100-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เกียร์ 4 รอบเครื่อง 4000-6000 รอบต่อนาที ก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงของเครื่องยนต์ที่ดีกว่า ขณะเดียวกันช่วงล่างยังคงเซ็ตตัวอยู่ในโหมด Economy ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับถนนต่างจังหวัดเมืองไทย จึงรู้สึกว่าการเล่นกับ CVT บวกกับช่วงล่างโหมด Economy เหมาะกับสภาพถนนต่างจังหวัดเมืองไทยมากกว่าการใช้เกียร์ D โหมด Economy หรือเกียร์ D โหมด Sport
กับเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นลงเขา A 200 ให้ได้มากซึ่งความสุนทรียะ ขับสนุก อันเป็นผลจากการจับคู่ที่ลงตัวระหว่างเกียร์ CVT กับช่วงล่างสไตล์สปอร์ต บนเส้นทางขึ้นเขา กำลังเครื่องยนต์ไหลมาเทมาไม่มีทีท่าว่าจะหมด กดปุ๊บมาปั๊บ ไม่มีอาการ “ขึ้นไม่ไหว” ยิ่งตอนเข้าโค้งยิ่งสนุก ลดเกียร์ลงต่ำ เอนจิ้นเบรค หักพวงมาลัยไปตามโค้ง แล้วกดคันเร่งส่ง “โอ้ จอร์จ มันยอดมาก” เชื่องมือ นิ่งสนิท ไม่มีดีดดิ้น ไม่ออกอาการเทกระจาด แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางน้อยมาก ไม่แสดงอาการโคลง ต้องขอขอบคุณเทคโนโลยีที่เบนซ์ใส่เข้าไป ไม่ว่าจะเป็น Electronic Stability Programme (ESP) หรือ Adaptive Damping System ที่เซ็ตความแข็งอ่อนของโช้คอัพตามสภาพการขับขี่ รวมถึงการออกแบบช่วงล่างหลังใหม่แบบที่เรียกว่า Spherical Parabolic-Spring Rear Axle ที่ “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ขอปรบมือให้ด้วยความจริงใจ
Elegance คือเครื่องแต่งกายของ A 200 ที่ “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” รับมาทดสอบ ภายในตกแต่งด้วยลายไม้ดูหรูหราคลาสิก แอร์อัตโนมัติ ที่ท้าวแขนคอนโซลกลาง แม็กลาย 9 ก้านขนาด 6 x 16 นิ้ว พร้อมยาง 195/55 R16 จะติหน่อยก็ตรงไฟหน้าที่ยังเป็นแบบรีเฟล็กเตอร์และยังไม่มีปลอกสแตนเลสสวมปลายท่อไอเสียมาให้ ดูขาดๆอย่างไรชอบกล
A 170 Avantgarde
คันที่สองที่ “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ได้ทดลองขับเป็น A 170 เครื่องเบนซิน 4 สูบ 8 วาล์ว ความจุ 1.7 ลิตร ผลิตม้าได้ 116 ตัวที่ 5500 รอบต่อนาที กับแรงบิด 155 นิวตันเมตรที่ 3500-4000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 11.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 187.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามสเปคจากโรงงาน เกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ (Autotronic CVT) 7 สปีด 3 โหมดการทำงาน Economy, Sport และ Manual เช่นเดียวกันกับคันแรก
น่าเสียดายที่ เราไม่สามารถทดสอบสมรรถนะของรถคันนี้ได้ เนื่องจากมีปัญหาขึ้นกับระบบเครื่องยนต์ ดูจากสเปคแล้วไม่น่าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก A 200 มากนัก เจ้าหน้าที่ของเบนซ์ที่ไปกับเราวันนั้นก็บอกว่าไม่ต่าง แต่เท่าที่เราได้ขับ มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในส่วนของช่วงล่าง A 170 จะนิ่มกว่า A 200 เล็กน้อย ประมาณว่าโหมด Sport ของ A 170 จะมีความแข็งระดับเดียวกับโหมด Economy ของ A 200 อันนี้ “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” ไม่ได้คิดไปเอง พิสูจน์ได้จากการที่เพื่อนร่วมทางที่นั่งมาด้วย “หลับกันหมด” แสดงว่ามีความนุ่มนวลอยู่ในระดับที่ “หลับได้”
สำหรับเครื่องแต่งกาย A 170 จะมาในชุด Avantgarde ซึ่งต่างไปจาก Elegance เล็กน้อย ภายในตกแต่งด้วยอลูมิเนียม แอร์ธรรมดา (แมนนวล) ไม่มีที่ท้าวแขนบริเวณคอนโซลกลาง แต่ภายนอกให้มาครบ ทั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ แม็กลาย 5 ก้านขนาด 6 x 16 นิ้ว พร้อมยาง 195/55 R16 และปลอกสวมปลายท่อไอเสียโครเมียม
สรุปว่า ถ้าคุณมีหัวใจสปอร์ต ชอบขับรถเร็ว เน้นเกาะถนนมากกว่าความนุ่มนวลแล้ว คุณจะรัก A 200 แต่ถ้าคุณชอบความสุภาพนุ่มนวล และคาดหวังกับความเป็นเบนซ์ “ผู้จัดการมอร์เตอริ่ง” มั่นใจว่า A-Class ใหม่ไม่ใช่สเปคคุณแน่นอน