ขณะที่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 21 หรือ MOTOR EXPO 2004 ณ เมืองทองธานี เพิ่งปิดฉากอำลาไปเมื่อไม่กี่วันนี้ พร้อมกับการอวดโฉมของรถยนต์กว่า 37 แบรนด์ จากผู้ผลิตทั่วโลก ก็ยังมีงานที่เกี่ยวกับรถยนต์งานใหญ่อีกงาน ที่มี ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับโรงแรมโซฟิเทล และททท. นั่นก็คืองาน “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด”(Hua Hin Vintage Car Parade) ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 ธ.ค. ซึ่งปีนี้ได้มีการรวมรวมรถโบราณและรถคลาสสิกมากที่สุดกว่า 60 คัน
ขึ้นชื่อว่าของเก่าถือว่าเป็นสมบัติที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา เพราะนอกจากจะมีคุณค่าทางจิตใจ ยังมีประโยชน์กับคนรุ่นหลังที่จะได้ศึกษา เพราะของเก่าบางชิ้นจะทำให้เรารับรู้เรื่องราวความเป็นมาในอดีตอันยาวนานของมัน
"รถยนต์" นับเป็นของสะสมอีกอย่างของผู้ที่ถือว่ามีใจอนุรักษ์และมีกำลังทรัพย์พอสมควร กว่าจะบูรณะซากรถเก่าคนหนึ่งให้กลับมาดูเหมือนใหม่นั้น มิใช่เรื่องง่าย....แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนกลุ่มนี้ที่เป็นสมาชิกของสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันนี้มีสมาชิกประมาณ 500 คน
เหตุนี้เราจึงเห็นรถโบราณที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้มันกลับมามีชีวิตโลดแล่นบนท้องถนนได้ดั่งเดิมอีกครั้ง ที่สำคัญรถโบราณหรือรถคลาสสิกบางคันอาจจะมีเพียงคันเดียวในประเทศไทยหรือในโลก จึงเป็นที่มาของความพยายามที่จะค้นขวาหามาครอบครองของนักสะสมทั้งหลาย ไม่ว่าจะได้มากเย็นเพียงใดก็ตามที
“หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด” ครั้งที่ 2 นี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากมายเมื่อเคลื่อนขบวนออกจากโรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพฯ มาถึง พระรามราชนิเวศน์(พระราชวังบ้านปืน) และพัก 1 คืน โดยเริ่มขบวนวันที่ 2 ตั้งแต่หน้าโรงแรมโซฟิเทล ผ่านสถานีรถไฟหัวหิน ย่านชุมชน พระราชวังไกลกังวล สะพานปลาและกลับมายังโรงแรม นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดนิทรรศการรถโบราณ-รถคลาสสิก กิจกรรมนั่งรถโบราณและรถคลาสสิกรอบเมืองสำหรับคนทั่วไปสำหรับรถโบราณที่มาร่วมในงานนี้แต่ละคัน นอกจากจะมีความสวยงาม ความคลาสสิก และความขลังแล้ว ก็ยังมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อย
สำหรับรถทั้งหมดที่นำมาโชว์ในงานนี้มีมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท (เฉพาะค่าประกันรถ) ซึ่งรถโบราณนั้นแยกได้เป็น 3 ประเภทคือ ช่วงแรกผลิตตั้งแต่ปี 1940 ขึ้นไป ช่วงที่สอง เป็นการผลิตก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1940 – 1955 และช่วงที่สามคือการผลิตสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี 1955 เป็นต้นไป ส่วนรถคลาสสิกนั้นจะมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
คุณขวัญชัย ปภัสพงษ์ บิ๊กบอส "ฟอร์มูล่า" ก็ไม่พลาดงานนี้เช่นกันเพราะผู้ชายคนนี้ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้รถโบราณ สำหรับในปีนี้ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ขวัญชัยกล่าวว่า "ในปีนี้แตกต่างกับปีที่ผ่านมาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นจำนวนรถที่มากขึ้นกว่าเท่าตัว ระยะทางที่จัดขบวนพาเหรด และมีประชาชนให้ความสนมากขึ้น ผมเห็นว่าสมาคมฯมีรถโบราณและรถคลาสสิกอยู่มากจึงคิดว่าในปีต่อๆไปอาจจะจัดให้มีการประกวดริมทะเลแบบต่างประเทศ และผมอยากให้เด็กรุ่นหลังหันมาสนใจรถโบราณพวกนี้มาก เพราะจะได้ช่วยกันอนุรักษ์ ยังมีรถสวยงามอีกหลายคันที่ถูกทิ้งไว้ไม่มีใครสนใจ รวมถึงอยากให้ทางรัฐบาลหันมาส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านนี้ด้วย”
สำหรับรถที่คุณขวัญชัยนำมาร่วมขบวนพาเหรดในครั้งนี้ก็คือ BMW 503 ยานยนต์ในรูปลักษณ์สปอร์ตคูเป้ สุดหรูของบีเอ็มดับเบิลยูคันแรกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เรียกได้ว่าเป็นคันเดียวในเอเชียก็ว่าได้ "ผมมีใจชอบเรื่องรถคลาสสิคมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลหรือบูรณะมัน ตอนนี้ผมมาเป็นนายกสมาคมรถโบราณ ก็รู้สึกว่าได้เวลาแล้ว เพื่อนที่เป็นกรรมการด้วยการหลายคนก็ให้ความช่วยเหลือ อย่างเช่นคุณศิริพงษ์ บูรณะพันธุ์ ซึ่งเป็นอุปนายกและมีประสบการณ์ในการบูรณะรถโบราณมาหลายคันก็ให้ความช่วยเหลือ และคุณศิริพงษ์มีรายชื่อรถที่น่าสนใจอยู่หลายคันก็ให้ผมเลือกว่าสนใจคันไหน จนมาเห็น BMW 503 คันนี้ก็ชอบเพราะว่าใจผมชอบบีเอ็มดับเบิลยูอยู่แล้ว"
เช่นเดียวกับศิริพงษ์ บูรณะพันธุ์ อุปนายกสามาคมฯ นับจนถึงวันนี้กว่า 20 ปีในการสะสมรถ ซึ่งเขามีรถในคอเลกชั่นกว่า 30 คันทีเดียว แต่ว่าการเก็บรถของแต่ละคนนั้นอาจจะเก็บไว้เพียงชื่นชมคนเดียว ต่างจากศิริพงษ์ ที่นำรถมาซ่อมและขาย
“ผมอาจจะเก็บสะสมรถไม่เหมือนคนอื่นๆเขา เพราะผมไปซื้อซากรถเก่าๆมาแล้วมาซ่อม จนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แล้วก็ขาย ใครๆก็ถามผมว่าไม่เสียดายหรือที่ขายไป ผมบอกเลยว่าตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ สู้ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เขาดูแลต่อไปดีกว่า”
อย่างงานคราวนี้เขานำรถมาทั้งหมด 4 คัน ไม่ว่าจะเป็น MG TC , Jaguar E-Type , Mercedes-Benz 220S , Mercedes-Benz 280 SE ศิริพงษ์บอกว่าความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่การเป็นเจ้าของรถเหล่านี้แต่หากอยู่ที่การได้ทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
ทางด้านของ ชลัทชัย ประภัสร์พงษ์ ทายาทรุ่นต่อไปของฟอร์มูล่าก็ได้มางานนี้เป็นครั้งแรกพร้อมกับนำรถคันงามอย่าง Alfa Romeo ปี 1975 ซึ่งเป็นรถโบราณคันแรกในการเริ่มต้นสะสมของเขา
"เมื่อมานานมานี้ได้ผมขับรถผ่านไปบนถนนแล้วได้เจอกับรถคันนี้ แล้วเกิดประทับใจมันมากเหมือนกับว่าได้เจอรักแรกพบเลยทีเดียว จึงไปถามเพื่อนๆพี่ๆที่กองบรรณาธิการฟอร์มูล่าว่ามีใครร้เรื่องรถคันนี้บ้าง ปรากฎว่ามีเจ้าของรถคนหนึ่งเขาอยากจะขายแต่ราคามันแพงอยู่ที่ 3-4 แสน ผมเลยสู้ราคาไม่ไหว เลยมาดูที่อู่ของบรรณาธิการฟอร์มูล่า มีเจ้าของอยากจะขายอยู่พอดีและก็อยากได้คนที่รักรถคันนี้จริงๆ เลยตกลงราคากันที่ 2 แสนกว่าบาท เป็นรถ 2000 ซีซี ซึ่งจริงๆแล้วเครื่องที่เหมาะกับคันนี้น่าจะอยู่ที่ 1750 ซีซี มากกว่า แต่รถที่ได้มาถือว่าอยู่ในสภาพดีมาก"
หลังจากที่ได้มาประมาณ 5 เดือนที่ผ่านมาชลัทชัยบอกว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรกับรถมาก อยากจะเปลี่ยนก็เพียงสีของรถมากกว่าเพราะว่าอยากให้เป็นสีเหมือนกับอัลฟ่า คือแดงแบบอัลฟ่า ส่วนเครื่องยนต์นั้นก็ไม่อยากเปลี่ยนอะไรมากเลย แต่ในอนาคตเขาอาจจะเปลี่ยนช่วงล่าง เมื่อถามถึงว่าเหตุใจจึงถูกใจที่อัลฟ่ามากขนาดนี้ ชลัทชัยบออกกับเราว่า
"รถอัลฟ่ามีความพิเศษที่ยี่ห้ออื่นไม่มีนั่นก็คือเกียร์ธรรมดากึ่งอัติโนมัติ ซึ่งตอนแรกก็ประทับใจในจุดนี้ แต่พอได้มาลองขับจริงๆแล้วก็ชอบตรงสมรรถนะมากกว่า อีกอย่างเป็นรถที่ “ขับสนุก” เสียงเร่งเครื่องก็ดี ผมก็เคยลองขับมาตั้งแต่ไปเรียนที่เมืองนอกแล้วครับ อย่างรถที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็คือ อัลฟ่า โรมิโอ 156"
สำหรับรถที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานนี้ก็มีอยู่ด้วยกันหลายคัน ไม่ว่าจะเป็นรถ BMW 503 สปอร์ตคูเป้ สุดหรูของบีเอ็มดับเบิลยูคันแรกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เรียกได้ว่าเป็นคันเดียวในเอเชียก็ว่าได้ GM TF ปี 1955 สีแดงสดของอรรถวิทย์ สุวรรณภักดี ซึ่งผลิตที่อังกฤษ นับเป็น TF ที่มีเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี.คันเดียวในประเทศไทย และทางสมาคมรถโบราณได้ช่วยกันดัดแปลงรถคันนี้ ด้วยการนำรถ 2 คันมารวมกันเป็นคันเดียว ส่วนเครื่องยนต์นั้น ยังคงเป็นของเดิม หรือ Mercedes-Benz ปี 1912 ซึ่งเป็นรถจำลอง 1ใน 2 คัน ของอาจารย์ปรานอม นะนุนา
ทว่าใครจะชื่นชอบรถประเภทไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่นักสะสมรถโบราณปฎิเสธไม่ได้เลยว่ารถทุกคันมันมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่ละเอียดอ่อน ชิ้นส่วนต่างๆก็ทำด้วยมือ ขณะที่ในปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับสมรรถนะของรถมากกว่า สำหรับรถโบราณสมัยก่อนวิ่งเต็มที่ได้เร็วแค่ 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้นเอง เหนืออื่นใดคนที่เล่นรถโบราณ ต้องมีใจรัก เพราะรถพวกนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างมาก นอกเหนือจากปัจจัยทางด้านการเงิน
สำหรับในต่างประเทศ ผู้ที่เก็บสะสมรถโบราณ จะเสียภาษีน้อยมาก เพราะทางการถือว่าเป็นรถที่ไม่ได้ใช้งานและเป็นสมบัติของชาติ แต่สำหรับในเมืองไทยรัฐบาลเอาจริง เอาจังมาก ทำให้แหล่งของรถเหล่านี้มีน้อยลง ทุกวัน เนื่องจากเจ้าของรถไม่สามารถนำหลักฐานมาเพื่อขอจดทะเบียนรถได้ อย่างเจ้าของรถที่มาจากประเทศมาเลเซียและสิงค์โปร์กล่าวว่า วงการรถโบราณที่นั่นรัฐบาลให้การสนับสนุนและมีคนให้ความสนใจมากขึ้น ทั้งยังเสียดายที่ครั้งนึ้ไม่ได้นำรถมาร่วมงานเนื่องจากติดเหตุผลจากการนำรถเข้ามาทางชายแดน
ในหัวใจของนักสะสมรถโบราณนั้นเรียกได้ว่าไม่มีรถคันไหนที่เป็นสุดยอดของนักสะสม เพราะคุณค่ามันอยู่ที่คนชอบมากกว่า บางคนอาจจะคิดว่าถ้ารถเก่ามากก็มีคุณค่ามากหรือราคาแพงมากก็สวยมาก แค่นี้อาจตัดสินไม่ได้ รถเหล่านี้จึงมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าราคา