เขาเป็นนักเดินทาง นักสารคดีโทรทัศน์ นักบุกเบิก เป็นไอ้บ้า และอะไรอีกมากมาย ที่แล้วแต่มุมมองของใครจะเข้าใ จ และเรียกขานเขา แต่..... “สันติธร หุตาคม” หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันดี ในชื่อ “โจ๋ย บางจาก” เจ้าของรายการสารคดีส่องโลก คือบทพิสูจน์หนึ่งของนักสู้ ที่น่าค้นคว้าอย่างยิ่งว่า ทำไม? กับการทำสารคดีโทรทัศน์รายการหนึ่ง เขาต้องทำงานแบบเฉียดเป็นเฉียดตาย และบางครั้งต้องฝ่าดงกระสุนเข้าไป แถมยังถูกตั้งข้อหาเป็น “สายลับ” อีกต่างหาก นี่คือความจริงจากคำพูดของเขาที่ถ่ายทอดผ่าน “ผู้จัดการมอเตอริ่ง”
“ก่อนจะมาเป็นนักสารคดี ผมเริ่มจากการเป็นนักข่าวการเมือง ตั้งแต่ปี 2525 ยุคก่อนกบฏเมษาฮาวาย และเป็นผู้ลงตีพิมพ์คำแถลงการณ์ของคณะก่อการในครั้งนั้นเป็นเล่มแรก บนหน้าหนังสือพิมพ์ชาวไทย ต่อมาจับงานทางด้านสายบันเทิง ซึ่งยุคสมัยนั้นการเป็นนักข่าวจะต้องมีกล้องถ่ายรูป และถ่ายรูปเป็นด้วย”
การมีอาชีพเป็นนักข่าวทำให้โจ๋ยต้องการเดินทางนอกพื้นที่อยู่บ่อยๆ ประกอบกับต้องรับงานทางด้านหาข่าวขายเป็นรายได้เสริม นอกจากรับเงินจากการเป็นนักข่าวสายบันเทิงอีกช่องทางหนึ่ง จนกระทั้งเขาได้รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ซึ่งพอดีกับทางสถานีอยากมีรายการสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางเกิดขึ้น เพราะตอนนั้นช่อง 5 ยังไม่มีใครเข้ามาทำ จึงเสนอให้โจ๋ยเป็นผู้ผลิตรายการ

ด้วยไฟทำงานที่มีอยู่มากมายในตัว โจ๋ยจึงติดสินใจรับทำงานทันที โดยเบื้องต้นเนื้อหารายการสารคดีเกี่ยวกับชีวิตคน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง เพราะรายการได้รับการตอบรับจากผู้ชมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถขยายเวลาออกอากาศจาก 30 นาที เป็น 1 ชั่วโมง และเพิ่มการผลิตรายการสารคดีเกี่ยวกับการผจญภัยอีก 1 รายการ นั่นจึงเป็นที่มาของรายการ “ส่องโลก”
“ผมกล้าหาญมากๆ ที่ใช้ชื่อรายการส่องโลกในสมัยนั้น เพราะโดนคนรุมสวด และสบประมาท หาว่าเราบ้า และถือดีมาคิดตั้งชื่อรายการแบบนี้ รายการดีๆ กว่านี้เขายังไม่กล้าเดินทางไปถ่ายทำในเมืองนอกเลย ที่สำคัญมันมีค่าใช้จ่ายสูง มันไปไม่รอดหรอก”
แต่ด้วยความที่เป็นนักสู้ ทำให้โจ๋ยเก็บรับคำท้าไว้ทันที พร้อมกับระดมความคิดที่มีอยู่ในหัวสมองขณะนั้น โดยใช้หลักคิดแบบกว้างๆ ว่า ไม่จำเป็นต้องเมืองนอกหรอก มองเมืองไทยให้ละเอียดก่อน แล้วถึงค่อยข้ามไปเมืองนอกก็ได้ เพราะนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เหมือนกัน พอคิดได้เช่นนั้นก็เดินทางไปในที่คนทั่วไปเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส และไม่เคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา สัตว์ป่า ตระเวนเดินท้าวไปคนเดียวตลอด
“การเดินทางของผม จะต้องไปเป็นรายแรก ชนิดหญ้าล้มถึงจะประสบความสำเร็จ จากนั้นก็จะมีรอย 2-3 ตามมา จนกระทั้งหญ้าตาย หรือไม่ขึ้นเลยเราก็เลิก”
รายการส่องโลกมาดังสุดขีด จากการเจาะลึกเบื้องหลัง การทำงานอนุรักษ์สัตว์ป่าของ สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่เสียชีวิตลง หลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ทางททบ.5 นำเทปสารคดีชุดนี้ออกเผยแพร่ซ้ำไปซ้ำมาประมาณ 2 เดือน จนเกิดกระแสอนุรักษ์เขียวไปหมด งบประมาณจากบริษัท ห้างร้าน ต่างๆ หันมาแย่งกันสนับสนุนรายการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และต่อจากนั้นก็มีรายการรักธรรมชาติเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เพื่อมากินเค้กก้อนนี้
ผลจากการก่อเกิดกระแสดังกล่าว ทำให้โจ๋ยได้รู้จักและเห็นธาตุแท้ของนักสารคดีลวงโลกหลายต่อหลายรายการ จนเขาไม่สามารถทนอยู่ตรงนั้นได้ จึงหันออกจากกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และกลับมาตั้งหลักใหม่ว่า เขาจะเดินทางไปในทิศทางใด
“ประเทศไทยมีหลายพื้นที่ ที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนั้นมีการสู้รบกันตามแนวชายแดนหลายๆ จุด แทบจะทุกๆ ด้านทั่วชายแดนไทยก็ว่าได้ เหมือนไทยถูกโดดเดี่ยว และปิดล้อมด้วยคอมมิวนิตส์ เรียกว่าไทยถูกปิดล้อมด้วยเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของศัตรู ฉะนั้นเราต้องเชื่อมเขาให้ได้ จึงเกิดเป็นยุทธ์ศาสตร์รู้เขารู้เราขึ้นมา”
“เรากลัวพม่า เพราะเราไม่รู้จักพม่า ฟังคนอื่นเล่ามา เรากลัวเวียดนามก็เพราะได้ยินว่า คนเวียดนามทำโน่นทำนี่ เรากลัวแม้กระเขมร เพราะคนอื่นบอกว่า จะทำอย่างโน้นอย่างนี่ ไม่มีใครเห็นสักคน หรือกระทั่งประเทศลาว ที่คนพูดภาษาเดียวกันกับเราก็ยังระแวงกัน โดยทุกอย่างเป็นสงครามทางจิตวิทยา และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราตั้งปณิธานว่า เราจะต้องรู้เขารู้เรา ด้วยใช้วิธีการเจาะเข้าไปหาเขา”
ช่วงนี้รายการสารดดีส่องโลก จึงก้าวข้ามพรมแดนไทย แม้จะเป็นประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เห็นธาตุแท้นักสู้คนนี้......
“ช่วงแรกๆ ที่เข้าไปตามชายแดน มีปัญหามากๆ ไม่มีใครต้อนรับเราเลย เพราะเขาหาว่าเราเป็นพวกสายลับ ยิ่งรายการของเราออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์คลื่นของทหาร ยิ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นลูกน้องของกองทัพบก หรือเป็นหน่วยข่าวกรองให้กับทหาร ซึ่งเป็นเรื่องของสายลับทั้งสิ้น เขาไม่คิดว่าเป็นเอกชนหรือไม่ ดูเหมือนเราใส่เสื้อสีเขียวทหารออกทำงาน จึงทำให้การทำงานยิ่งยากเป็น 3-4 เท่าขึ้นไปอีก”
วิธีแก้ปัญหาของนักสู้เช่นโจ๋ย จึงใช้วิธีเดินเข้าไปตรงๆ ถ้าไม่ทำมันก็ไม่เกิดความคิดใหม่ๆ ...... “เข้าไปแล้วถูกจับอยู่เป็นประจำ จนกระทั้งจำหน้ากันได้ จากครั้งแรกไม่รู้จัก เป็นศัตรูกัน ซึ่งถูกจับบ่อยๆเข้าก็เชื่อใจกัน จนกลายมาเป็นคนรู้จักกัน เรื่องต่างๆก็กลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่งเมื่อก่อนเข้าพม่าได้ด้วยวิธีการลักลอบ กลับออกมาอีกทีก็โดนจับปรับ 500 บาท แถมยังถูกสันติบาลตามล่า บ้างก็หาว่าค้ายาบ้าง หรือไม่ก็เป็นพวกส่งอาวุธให้กับกระเหรี่ยงบ้าง ไปลาว หรือเวียดนามก็โดนเหมือนกัน”
เมื่อถามถึงการเดินทางที่ยากลำบาก และถือเป็นครั้งสำคัญที่สุดของโจ๋ย ซึ่งก็ได้รับการบอกเล่าว่า เป็นการทางด้วยรถยนต์กว่า 20,000 ไมล์ เส้นทางไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน-มองโกเลีย-คาบสมุทรไบคานของรัสเซีย อันเป็นความตั้งใจสืบทอดเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระเทพรัตน์ราชกุมารีฯ ที่พระองค์ท่านได้เสด็จไปเยือนมองโกเลีย และประเทศมองโกเลียเองก็มีความสัมพันธ์กันมา ตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน และได้เจริญสัมพันธ์ไมตรีทางการทูตขึ้น โดยมีสถานทูตอยู่ที่ซอยราชครูนี่เอง
“สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่เรื่องการเดินทาง แต่เป็นเรื่องการติดต่อประสานงานแต่ละประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศที่จะต้องผ่านเท่านั้น แม้แต่การขอความร่วมมือ0kdหน่วยงานรัฐของไทยเอง แทบจะไม่ใครสนใจเลย หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณ กร ทัพพะรังสี นายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งเป็นองค์กรทางการค้าระหว่างกัน ได้ออกจดหมายรับรองให้เดินทางไปติดต่อกับพ่อค้า ที่มีเส้นสายสำคัญในพรรคอมนิสต์จีน ซึ่งกว่าจะเรียบร้อยมันได้เลยเวลาที่เหมาะสมไปแล้ว เพราะหากเลยกำหนดเวลาจะไม่สามารถเข้าไปถึงคาบสมุทรไบคานของรัสเซียได้ เนื่องจากหิมะจะลงหนัก จนไม่สามารถจำแนกทิศและเส้นทางได้ แต่เมื่อตั้งใจแล้วผมจึงตัดสินใจไป ด้วยการไปวัดดวงเอาข้างหน้า ซึ่งในที่สุดก็ไปถึงแค่มองโกเลียเท่านั้น”
ในฐานะที่โจ๋ยเป็นนักเดินทาง และนักบุกเบิก ย่อมมีความคุ้นเคยกับใช้รถ ซึ่งถือเป็นพาหนะที่มีส่วนช่วยเขาไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างดี โดยโจ๋ยบอกว่าปัจจุบันผมใช้จิ๊ปเซอร์โรกี 4.0 ลิตร รุ่นธรรมดา ขับใช้งานเดินทางไปทั่วประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศด้วย ใช้วิ่งไปบนเส้นทาง และไม่ใช่เส้นทาง ขับไปคนเดียวถึงแม้จะเข้าไปอยู่ในป่าลึกๆ ก็ตาม มั่นก็เหมาะสะดวกสบายดี อุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งลงไปเอง ก็มีวินซ์ด้านหน้าและหลังเท่านั้น หรือหากไปทำงานนานๆ จะต่อลากรถพ่วงด้วย เพื่อช่วยขนสัมภาระอุปกรณ์ที่เราต้องการติดไปด้วย
“รถยนต์ที่ผมต้องการมากที่สุดเขาไม่สร้างแล้วในขณะนี้ ซึ่งมันเหลือรถที่ผมใช่อยู่นี่แหละ คือ เชอร์โรกี 4.0 ลิตร แม้จะไม่ใช่รถที่ดีนัก แต่ก็ยังดีกว่ารุ่นอื่นๆ รถยนต์เดียวนี้เขาสร้างมาเพื่อซ่อม เมื่อก่อนก็เคยคลุกคลีอยู่กับการทดสอบรถ เคยมีโอกาสได้ไปดูงานโชว์รถยนต์ในเมืองนอกและเมืองไทย รถยนต์เดี๋ยวนี้น่าซื้อแต่ไม่น่าใช้ รถที่น่าใช้งานสำหรับสายตาผม มันจะต้องมีอายุการใช้งานของชิ้นส่วนที่ยาวนานด้วย”
ส่วนรถที่ดีในความคิดของโจ๋ยเขาบอกว่า “รถที่ใช้งานคุ้มค่า คือ รถที่ซ่อมน้อยที่สุด รถยนต์ที่จะเหมาะกับบ้านเราต้องมีช่วงล่างที่ทนทาน มีสมรรถนะแข็งแรง ความเร็วนั้นใช้ไม่ค่อยถึงกัน แต่ช่วงล่างกลับถูกใช้งานมากกว่า การจะซื้อรถดูว่าเมื่อถึงเวลาซ่อมจุดใดจุดหนึ่งมันรบกวนกับความมั่นคงในครอบครัวเราหรือไม่”
สำหรับรถยนต์ในสายตาของโจ๋ยปัจจุบัน เขามองว่ารถยนต์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นรถใช้งานแท้จริง จะเห็นแต่ละบริษัทมุ่งหวังลูกค้าที่จะกลับเข้ามาใช้บริการกลังการขายกันทั้งนั้น และทุกวันนี้คนพูดแต่เรื่องดีของรถกันหมด แต่ไม่มีใครพูดถึงข้อเสียของรถกันบ้างเลย เราเองก็พูดอะไรไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะยังผูกติดกับการเป็นสปอนเซอร์อยู่เหมือนกัน เหมือนหมอที่ไม่กล้าชี้โรคให้กับคนไข้นั่นเอง
ทั้งหมดเป็นความจริงจากปากคำของ นักสารคดี นักเดินทาง นักบุกเบิก หรือสายลับในสายตาของหน่วยงานความมั่นคงหลายประเทศ แต่หากมองลงไปถึงเนื้อหาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร .... “โจ๋ย บางจาก” คือนักสู้ และนักสร้างสรรค์สารคดีของเมืองไทย ที่ใครหลายคนประณามเขาก็ไม่สามารถทำได้!!
“ก่อนจะมาเป็นนักสารคดี ผมเริ่มจากการเป็นนักข่าวการเมือง ตั้งแต่ปี 2525 ยุคก่อนกบฏเมษาฮาวาย และเป็นผู้ลงตีพิมพ์คำแถลงการณ์ของคณะก่อการในครั้งนั้นเป็นเล่มแรก บนหน้าหนังสือพิมพ์ชาวไทย ต่อมาจับงานทางด้านสายบันเทิง ซึ่งยุคสมัยนั้นการเป็นนักข่าวจะต้องมีกล้องถ่ายรูป และถ่ายรูปเป็นด้วย”
การมีอาชีพเป็นนักข่าวทำให้โจ๋ยต้องการเดินทางนอกพื้นที่อยู่บ่อยๆ ประกอบกับต้องรับงานทางด้านหาข่าวขายเป็นรายได้เสริม นอกจากรับเงินจากการเป็นนักข่าวสายบันเทิงอีกช่องทางหนึ่ง จนกระทั้งเขาได้รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ซึ่งพอดีกับทางสถานีอยากมีรายการสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางเกิดขึ้น เพราะตอนนั้นช่อง 5 ยังไม่มีใครเข้ามาทำ จึงเสนอให้โจ๋ยเป็นผู้ผลิตรายการ
ด้วยไฟทำงานที่มีอยู่มากมายในตัว โจ๋ยจึงติดสินใจรับทำงานทันที โดยเบื้องต้นเนื้อหารายการสารคดีเกี่ยวกับชีวิตคน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง เพราะรายการได้รับการตอบรับจากผู้ชมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถขยายเวลาออกอากาศจาก 30 นาที เป็น 1 ชั่วโมง และเพิ่มการผลิตรายการสารคดีเกี่ยวกับการผจญภัยอีก 1 รายการ นั่นจึงเป็นที่มาของรายการ “ส่องโลก”
“ผมกล้าหาญมากๆ ที่ใช้ชื่อรายการส่องโลกในสมัยนั้น เพราะโดนคนรุมสวด และสบประมาท หาว่าเราบ้า และถือดีมาคิดตั้งชื่อรายการแบบนี้ รายการดีๆ กว่านี้เขายังไม่กล้าเดินทางไปถ่ายทำในเมืองนอกเลย ที่สำคัญมันมีค่าใช้จ่ายสูง มันไปไม่รอดหรอก”
แต่ด้วยความที่เป็นนักสู้ ทำให้โจ๋ยเก็บรับคำท้าไว้ทันที พร้อมกับระดมความคิดที่มีอยู่ในหัวสมองขณะนั้น โดยใช้หลักคิดแบบกว้างๆ ว่า ไม่จำเป็นต้องเมืองนอกหรอก มองเมืองไทยให้ละเอียดก่อน แล้วถึงค่อยข้ามไปเมืองนอกก็ได้ เพราะนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เหมือนกัน พอคิดได้เช่นนั้นก็เดินทางไปในที่คนทั่วไปเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส และไม่เคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา สัตว์ป่า ตระเวนเดินท้าวไปคนเดียวตลอด
“การเดินทางของผม จะต้องไปเป็นรายแรก ชนิดหญ้าล้มถึงจะประสบความสำเร็จ จากนั้นก็จะมีรอย 2-3 ตามมา จนกระทั้งหญ้าตาย หรือไม่ขึ้นเลยเราก็เลิก”
รายการส่องโลกมาดังสุดขีด จากการเจาะลึกเบื้องหลัง การทำงานอนุรักษ์สัตว์ป่าของ สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่เสียชีวิตลง หลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ทางททบ.5 นำเทปสารคดีชุดนี้ออกเผยแพร่ซ้ำไปซ้ำมาประมาณ 2 เดือน จนเกิดกระแสอนุรักษ์เขียวไปหมด งบประมาณจากบริษัท ห้างร้าน ต่างๆ หันมาแย่งกันสนับสนุนรายการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และต่อจากนั้นก็มีรายการรักธรรมชาติเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เพื่อมากินเค้กก้อนนี้
ผลจากการก่อเกิดกระแสดังกล่าว ทำให้โจ๋ยได้รู้จักและเห็นธาตุแท้ของนักสารคดีลวงโลกหลายต่อหลายรายการ จนเขาไม่สามารถทนอยู่ตรงนั้นได้ จึงหันออกจากกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และกลับมาตั้งหลักใหม่ว่า เขาจะเดินทางไปในทิศทางใด
“ประเทศไทยมีหลายพื้นที่ ที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนั้นมีการสู้รบกันตามแนวชายแดนหลายๆ จุด แทบจะทุกๆ ด้านทั่วชายแดนไทยก็ว่าได้ เหมือนไทยถูกโดดเดี่ยว และปิดล้อมด้วยคอมมิวนิตส์ เรียกว่าไทยถูกปิดล้อมด้วยเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของศัตรู ฉะนั้นเราต้องเชื่อมเขาให้ได้ จึงเกิดเป็นยุทธ์ศาสตร์รู้เขารู้เราขึ้นมา”
“เรากลัวพม่า เพราะเราไม่รู้จักพม่า ฟังคนอื่นเล่ามา เรากลัวเวียดนามก็เพราะได้ยินว่า คนเวียดนามทำโน่นทำนี่ เรากลัวแม้กระเขมร เพราะคนอื่นบอกว่า จะทำอย่างโน้นอย่างนี่ ไม่มีใครเห็นสักคน หรือกระทั่งประเทศลาว ที่คนพูดภาษาเดียวกันกับเราก็ยังระแวงกัน โดยทุกอย่างเป็นสงครามทางจิตวิทยา และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราตั้งปณิธานว่า เราจะต้องรู้เขารู้เรา ด้วยใช้วิธีการเจาะเข้าไปหาเขา”
ช่วงนี้รายการสารดดีส่องโลก จึงก้าวข้ามพรมแดนไทย แม้จะเป็นประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เห็นธาตุแท้นักสู้คนนี้......
“ช่วงแรกๆ ที่เข้าไปตามชายแดน มีปัญหามากๆ ไม่มีใครต้อนรับเราเลย เพราะเขาหาว่าเราเป็นพวกสายลับ ยิ่งรายการของเราออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์คลื่นของทหาร ยิ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นลูกน้องของกองทัพบก หรือเป็นหน่วยข่าวกรองให้กับทหาร ซึ่งเป็นเรื่องของสายลับทั้งสิ้น เขาไม่คิดว่าเป็นเอกชนหรือไม่ ดูเหมือนเราใส่เสื้อสีเขียวทหารออกทำงาน จึงทำให้การทำงานยิ่งยากเป็น 3-4 เท่าขึ้นไปอีก”
วิธีแก้ปัญหาของนักสู้เช่นโจ๋ย จึงใช้วิธีเดินเข้าไปตรงๆ ถ้าไม่ทำมันก็ไม่เกิดความคิดใหม่ๆ ...... “เข้าไปแล้วถูกจับอยู่เป็นประจำ จนกระทั้งจำหน้ากันได้ จากครั้งแรกไม่รู้จัก เป็นศัตรูกัน ซึ่งถูกจับบ่อยๆเข้าก็เชื่อใจกัน จนกลายมาเป็นคนรู้จักกัน เรื่องต่างๆก็กลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่งเมื่อก่อนเข้าพม่าได้ด้วยวิธีการลักลอบ กลับออกมาอีกทีก็โดนจับปรับ 500 บาท แถมยังถูกสันติบาลตามล่า บ้างก็หาว่าค้ายาบ้าง หรือไม่ก็เป็นพวกส่งอาวุธให้กับกระเหรี่ยงบ้าง ไปลาว หรือเวียดนามก็โดนเหมือนกัน”
เมื่อถามถึงการเดินทางที่ยากลำบาก และถือเป็นครั้งสำคัญที่สุดของโจ๋ย ซึ่งก็ได้รับการบอกเล่าว่า เป็นการทางด้วยรถยนต์กว่า 20,000 ไมล์ เส้นทางไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน-มองโกเลีย-คาบสมุทรไบคานของรัสเซีย อันเป็นความตั้งใจสืบทอดเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระเทพรัตน์ราชกุมารีฯ ที่พระองค์ท่านได้เสด็จไปเยือนมองโกเลีย และประเทศมองโกเลียเองก็มีความสัมพันธ์กันมา ตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน และได้เจริญสัมพันธ์ไมตรีทางการทูตขึ้น โดยมีสถานทูตอยู่ที่ซอยราชครูนี่เอง
“สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่เรื่องการเดินทาง แต่เป็นเรื่องการติดต่อประสานงานแต่ละประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศที่จะต้องผ่านเท่านั้น แม้แต่การขอความร่วมมือ0kdหน่วยงานรัฐของไทยเอง แทบจะไม่ใครสนใจเลย หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณ กร ทัพพะรังสี นายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งเป็นองค์กรทางการค้าระหว่างกัน ได้ออกจดหมายรับรองให้เดินทางไปติดต่อกับพ่อค้า ที่มีเส้นสายสำคัญในพรรคอมนิสต์จีน ซึ่งกว่าจะเรียบร้อยมันได้เลยเวลาที่เหมาะสมไปแล้ว เพราะหากเลยกำหนดเวลาจะไม่สามารถเข้าไปถึงคาบสมุทรไบคานของรัสเซียได้ เนื่องจากหิมะจะลงหนัก จนไม่สามารถจำแนกทิศและเส้นทางได้ แต่เมื่อตั้งใจแล้วผมจึงตัดสินใจไป ด้วยการไปวัดดวงเอาข้างหน้า ซึ่งในที่สุดก็ไปถึงแค่มองโกเลียเท่านั้น”
ในฐานะที่โจ๋ยเป็นนักเดินทาง และนักบุกเบิก ย่อมมีความคุ้นเคยกับใช้รถ ซึ่งถือเป็นพาหนะที่มีส่วนช่วยเขาไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างดี โดยโจ๋ยบอกว่าปัจจุบันผมใช้จิ๊ปเซอร์โรกี 4.0 ลิตร รุ่นธรรมดา ขับใช้งานเดินทางไปทั่วประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศด้วย ใช้วิ่งไปบนเส้นทาง และไม่ใช่เส้นทาง ขับไปคนเดียวถึงแม้จะเข้าไปอยู่ในป่าลึกๆ ก็ตาม มั่นก็เหมาะสะดวกสบายดี อุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งลงไปเอง ก็มีวินซ์ด้านหน้าและหลังเท่านั้น หรือหากไปทำงานนานๆ จะต่อลากรถพ่วงด้วย เพื่อช่วยขนสัมภาระอุปกรณ์ที่เราต้องการติดไปด้วย
“รถยนต์ที่ผมต้องการมากที่สุดเขาไม่สร้างแล้วในขณะนี้ ซึ่งมันเหลือรถที่ผมใช่อยู่นี่แหละ คือ เชอร์โรกี 4.0 ลิตร แม้จะไม่ใช่รถที่ดีนัก แต่ก็ยังดีกว่ารุ่นอื่นๆ รถยนต์เดียวนี้เขาสร้างมาเพื่อซ่อม เมื่อก่อนก็เคยคลุกคลีอยู่กับการทดสอบรถ เคยมีโอกาสได้ไปดูงานโชว์รถยนต์ในเมืองนอกและเมืองไทย รถยนต์เดี๋ยวนี้น่าซื้อแต่ไม่น่าใช้ รถที่น่าใช้งานสำหรับสายตาผม มันจะต้องมีอายุการใช้งานของชิ้นส่วนที่ยาวนานด้วย”
ส่วนรถที่ดีในความคิดของโจ๋ยเขาบอกว่า “รถที่ใช้งานคุ้มค่า คือ รถที่ซ่อมน้อยที่สุด รถยนต์ที่จะเหมาะกับบ้านเราต้องมีช่วงล่างที่ทนทาน มีสมรรถนะแข็งแรง ความเร็วนั้นใช้ไม่ค่อยถึงกัน แต่ช่วงล่างกลับถูกใช้งานมากกว่า การจะซื้อรถดูว่าเมื่อถึงเวลาซ่อมจุดใดจุดหนึ่งมันรบกวนกับความมั่นคงในครอบครัวเราหรือไม่”
สำหรับรถยนต์ในสายตาของโจ๋ยปัจจุบัน เขามองว่ารถยนต์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นรถใช้งานแท้จริง จะเห็นแต่ละบริษัทมุ่งหวังลูกค้าที่จะกลับเข้ามาใช้บริการกลังการขายกันทั้งนั้น และทุกวันนี้คนพูดแต่เรื่องดีของรถกันหมด แต่ไม่มีใครพูดถึงข้อเสียของรถกันบ้างเลย เราเองก็พูดอะไรไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะยังผูกติดกับการเป็นสปอนเซอร์อยู่เหมือนกัน เหมือนหมอที่ไม่กล้าชี้โรคให้กับคนไข้นั่นเอง
ทั้งหมดเป็นความจริงจากปากคำของ นักสารคดี นักเดินทาง นักบุกเบิก หรือสายลับในสายตาของหน่วยงานความมั่นคงหลายประเทศ แต่หากมองลงไปถึงเนื้อหาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร .... “โจ๋ย บางจาก” คือนักสู้ และนักสร้างสรรค์สารคดีของเมืองไทย ที่ใครหลายคนประณามเขาก็ไม่สามารถทำได้!!