ในบรรดานักแข่งรถของเมืองไทยคงไม่มีใครไม่รู้จักเขาคนนี้ “พรสวรรค์ ศิริวัฒนกุล” ที่ไปสร้างชื่อเสียงให้กับคนไทยในแวดวงแข่งรถระดับโลกไม่ว่าจะเป็นรายการ PARIS – DAKAR ในนามของทีมมิตซูบิชิ จนถึงวันนี้กว่า 27 ปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตบนเส้นทางนักแข่ง “ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง” จะพาไปพูดคุยถึงชีวิตหลังพวงมาลัยของเขา

เริ่มแข่งรถมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
พรสวรรค์ เป็นหนุ่มเมืองเหนือ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2502 และเติบโตที่จังหวัดลำปาง ด้วยความเป็นที่เป็นคนรักการผจญภัย จึงชอบขับรถแบบสมบุกสมบันลุยป่าฝ่าเขาอยู่เป็นประจำ
“ตอนเด็กๆผมเห็นรถแข่งมีสติ๊กเกอร์เยอะๆติดเต็มรถไปหมดรู้สึกว่าชอบมาก นอกจากนี้ที่บ้านผมไม่ค่อยมีถนนที่ลาดยางเท่าไหร่ผมจึงชอบขับรถแบบลุยๆมากกว่า ผมจึงขออนุญาตพ่อไปแข่งรถ ท่านก็ถามผมว่าการแข่งรถมีกติกาอย่างไร ผมก็อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็เข้าใจและยังให้รถมา 1 คันด้วยครับ ทำให้มาเริ่มแข่งรถจริงจังตอนอายุ 18 ปี ”
จนกระทั่งในปี 2530 ได้มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันแรลลี่ในประเทศเป็นครั้งแรก โดยใช้รถโตโยต้า ดีเอ็กซ์ แต่ไม่ประสบชัยชนะ ในปีต่อมาก็ลงชิงชัยอีก ผลก็ออกมาเช่นเดิม
แล้วไปแข่งระดับโลกได้อย่างไร?
ความเป็นที่คนอดทน ไม่ยอมแพ้สู้จนถึงที่สุด และด้วยทักษะ ไหวพริบในการขับรถแรลลี่ที่ดี ทำให้ในปีต่อมา บริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ได้ทาบมาร่วมทีมแรลลี่ อาร์ต เข้าแข่งขันในปี 2532 ชื่อเสียงของพรสวรรค์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการ เพราะสามารถคว้าชัยชนะในประเภททีมรวมได้สำเร็จ
ในปี 2533 ถึง 2541 พรสวรรค์ ลงชัยในสนามแรลลี่ชิงแชมป์ประเทศไทย และคว้าชัยชนะครองแชมป์ ติดต่อกันเรื่อยมาถึง 9 ปีซ้อน และในปี 2542 ยังคว้าตำแหน่ง แชมป์ ASIA – PACIFIC RALLY RD – 6 IN THAI 5 TH OVERALL , BEST THAI .
ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงในประเทศไทยกับทีมแรลลี่ อาร์ต เท่านั้น ในปี 2534 พรสวรรค์ ยังไปร่วมแข่งขันแรลลี่หฤโหดปารีส – ดาการ์ PARIS – DAKAR กับมิตซูบิชิอีกด้วย โดยใช้รถ มิตซูบิชิ ปาเจโร แต่ต้องออกจากการแข่งขันเพราะรถช่วงล่างเสียหาย แต่ต่อมาในปี 2535 ก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันประเภท T2 – 1 CLASS WINNER ในปี 2536และปี 2537 ก็คว้าแชมป์ประเภท T2 OVERALL WINNER ได้ถึง 2 สมัย ส่วนในปี 2539 ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขัน และในปี 2540 เข้าร่วมแข่งขันในรายการ DAKAR – AGADES – DAKAR แต่ก็ต้องออกจากการแข่งขันเพราะชุดส่งกำลังพัง

ปกติในชีวิตประจำวันขับรถอย่างไร?
“ตั้งแต่เด็กผมคุ้นเคยกับการขับแบบออฟโรดมาตลอด ถ้าขับบนถนนทั่วไปตอนนี้ผมขับไม่เกิน 100 แน่นอนครับ มันไม่คุ้นเคยด้วย เพราะตอนทำงานที่ไร่ของพ่อ ผมก็ขับรถแบบลุยๆ แต่ถ้ารถคันแรกที่เก็บเงินซื้อจริงๆก็ตอนอายุ 21 ครับ คือรถมิตซูบิชิ คันต่อๆมาก็ยังคงเป็นมิตซูเหมือนเดิมครับ ผมเองก็ได้ใช้แทบจะทุกรุ่นแล้ว ตอนนี้ที่บ้านก็จะมีแลนเซอร์ ซีเดีย กับ อีโวลูชั่น 4”
สนามล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง?
“ในปีนี้ผมเข้าร่วมแข่งขันในรายการFIA WORLD CUP CROSS COUNTRY RALLIES-DAKAR 2004 โดยใช้รถมิตซูบิชิ แอล 200 โปรโตไทป์ ที่มิตซูบิชิผลิตขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะครับ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแข่งรถ?
พรสวรรค์บอกว่าประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งรถนั้น คือ เวลาขับรถต้องมีสมาธิ คิดอยู่เสมอว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ต้องทันต่อเหตุการณ์ ทันเกมของคู่แข่ง เพราะว่าถ้าพลาดเพียงนิดเดียวนั่นหมายถึงชีวิต
“ เวลาที่ขับรถนั้นผมจะมีสมาธิอยู่เสมอ ถึงแม้จะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้างแต่หน้าที่ของเราก็คือจะต้องพารถไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ โดยที่คนกับรถจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง นั่นล่ะที่เราจะชนะคู่แข่งได้ครับ นอกเหนือจากสมาธิก็คือสติ เพราะเวลาผมอยู่บนสนามแข่งนั้นผมจะไม่สนใจอย่างอื่นเลยนอกจากการแข่งขันเพราะถ้าเราพลาดแต่เพียงเสี้ยววินาทีชีวิตของเราอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้”
พรสวรรค์บอกว่าไม่ใช่ตั้งแต่แข่งมานั้นจะไม่เคยได้รับการบาดเจ็บเพียงแต่ว่าน้อยครั้งที่จะเกิดเหตุแบบนี้เพราะก่อนแข่งขันทุกครั้งเขาจะทำการเช็คระบบความปลอดภัยร่วมกับทีมงานด้วยทุกครั้งเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

สนามไหนที่คิดว่าประทับที่สุด?
“ผมประทับใจสนามที่ PARIS – DAKAR ที่ผมชนะรายการนี้ที่เป็นความฝันสูงสุดของนักแข่งรถทุกคนที่อยากมาแข่งสนามนี้ เพราะผมรู้สึกว่านี่เป็นชัยชนะที่แท้จริงของผม”
สำหรับการแข่งขันในแต่ละครั้งพรสวรรค์บอกว่าเขาไม่ได้หวังเพียงชัยชนะเท่านั้น แต่การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักนั่นคือความสุขที่แท้จริง “ผมเป็นคนรักความเร็วมากกว่าไม่ได้สนใจที่จะชนะเพียงอย่างเดียว จริงอยู่ว่าการชนะนั้นเราก็จะภูมิใจแต่เหนือสิ่งอื่นใดเรารู้สึกว่าเราชนะตัวเองได้ และเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก แต่การที่จะชนะได้ก็ต้องมีทีมงานที่ดีด้วยไม่ใช่ว่าเราจะสามารถชนะได้เพียงคนเดียว ชัยชนะนั้นจะไม่มีความหมายเลยถ้าเราไม่มีทีมงานที่ดีครับ”
คิดว่าจะแข่งรถไปอีกนานแค่ไหน?
“มาถึงจุดนี้ได้ ผมคิดว่าบรรลุความฝันของผมแล้วครับ เพราะยังมีไม่กี่คนที่จะมาถึงตรงนี้ได้ แต่ที่สำคัญผมได้ทำในสิ่งที่ผมรักแค่นั้นก็ดีที่สุดแล้ว ถ้าถามว่าผมจะเกษียณตัวเองเมื่อไหร่ คิดว่าคงไม่เกิน 3 ปีนี้ เพราะว่าช่วงหลังๆทำเวลาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็จะพยายามแข่งให้ดีที่สุดเหมือนทุกครั้งครับ”
แต่ถึงแม้ว่าพรสวรรค์จะโบกมือลาวงการแข่งรถไปในอีกไม่กี่ปี วงการนี้ก็จะมีคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองนั่นก็คือลูกชายคนโตของเขานั่นเอง “ตอนนี้ผมแข่งรถกับลูกชายผมบ่อยๆครับ ผมแพ้เขา กิโลเมตรละ 2 วินาที จึงคิดว่าเขาจะมาสานฝันของผมต่อในอนาคตแน่นอน เพราะเขาเริ่มหัดขับรถมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตอนนี้ก็อายุ 21 แล้ว”
บนเส้นทางแข่งรถกว่า 27 ปี กับชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ พรสวรรค์ ศิริวัฒนกุล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิงห์ทะเลทรายของไทยคนนี้ “ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง” เชื่อว่าชีวิตที่รักการผจญภัยเช่นนี้ไม่มีวันจบแน่นอน!!
เริ่มแข่งรถมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
พรสวรรค์ เป็นหนุ่มเมืองเหนือ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2502 และเติบโตที่จังหวัดลำปาง ด้วยความเป็นที่เป็นคนรักการผจญภัย จึงชอบขับรถแบบสมบุกสมบันลุยป่าฝ่าเขาอยู่เป็นประจำ
“ตอนเด็กๆผมเห็นรถแข่งมีสติ๊กเกอร์เยอะๆติดเต็มรถไปหมดรู้สึกว่าชอบมาก นอกจากนี้ที่บ้านผมไม่ค่อยมีถนนที่ลาดยางเท่าไหร่ผมจึงชอบขับรถแบบลุยๆมากกว่า ผมจึงขออนุญาตพ่อไปแข่งรถ ท่านก็ถามผมว่าการแข่งรถมีกติกาอย่างไร ผมก็อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็เข้าใจและยังให้รถมา 1 คันด้วยครับ ทำให้มาเริ่มแข่งรถจริงจังตอนอายุ 18 ปี ”
จนกระทั่งในปี 2530 ได้มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันแรลลี่ในประเทศเป็นครั้งแรก โดยใช้รถโตโยต้า ดีเอ็กซ์ แต่ไม่ประสบชัยชนะ ในปีต่อมาก็ลงชิงชัยอีก ผลก็ออกมาเช่นเดิม
แล้วไปแข่งระดับโลกได้อย่างไร?
ความเป็นที่คนอดทน ไม่ยอมแพ้สู้จนถึงที่สุด และด้วยทักษะ ไหวพริบในการขับรถแรลลี่ที่ดี ทำให้ในปีต่อมา บริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ได้ทาบมาร่วมทีมแรลลี่ อาร์ต เข้าแข่งขันในปี 2532 ชื่อเสียงของพรสวรรค์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการ เพราะสามารถคว้าชัยชนะในประเภททีมรวมได้สำเร็จ
ในปี 2533 ถึง 2541 พรสวรรค์ ลงชัยในสนามแรลลี่ชิงแชมป์ประเทศไทย และคว้าชัยชนะครองแชมป์ ติดต่อกันเรื่อยมาถึง 9 ปีซ้อน และในปี 2542 ยังคว้าตำแหน่ง แชมป์ ASIA – PACIFIC RALLY RD – 6 IN THAI 5 TH OVERALL , BEST THAI .
ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงในประเทศไทยกับทีมแรลลี่ อาร์ต เท่านั้น ในปี 2534 พรสวรรค์ ยังไปร่วมแข่งขันแรลลี่หฤโหดปารีส – ดาการ์ PARIS – DAKAR กับมิตซูบิชิอีกด้วย โดยใช้รถ มิตซูบิชิ ปาเจโร แต่ต้องออกจากการแข่งขันเพราะรถช่วงล่างเสียหาย แต่ต่อมาในปี 2535 ก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันประเภท T2 – 1 CLASS WINNER ในปี 2536และปี 2537 ก็คว้าแชมป์ประเภท T2 OVERALL WINNER ได้ถึง 2 สมัย ส่วนในปี 2539 ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขัน และในปี 2540 เข้าร่วมแข่งขันในรายการ DAKAR – AGADES – DAKAR แต่ก็ต้องออกจากการแข่งขันเพราะชุดส่งกำลังพัง
ปกติในชีวิตประจำวันขับรถอย่างไร?
“ตั้งแต่เด็กผมคุ้นเคยกับการขับแบบออฟโรดมาตลอด ถ้าขับบนถนนทั่วไปตอนนี้ผมขับไม่เกิน 100 แน่นอนครับ มันไม่คุ้นเคยด้วย เพราะตอนทำงานที่ไร่ของพ่อ ผมก็ขับรถแบบลุยๆ แต่ถ้ารถคันแรกที่เก็บเงินซื้อจริงๆก็ตอนอายุ 21 ครับ คือรถมิตซูบิชิ คันต่อๆมาก็ยังคงเป็นมิตซูเหมือนเดิมครับ ผมเองก็ได้ใช้แทบจะทุกรุ่นแล้ว ตอนนี้ที่บ้านก็จะมีแลนเซอร์ ซีเดีย กับ อีโวลูชั่น 4”
สนามล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง?
“ในปีนี้ผมเข้าร่วมแข่งขันในรายการFIA WORLD CUP CROSS COUNTRY RALLIES-DAKAR 2004 โดยใช้รถมิตซูบิชิ แอล 200 โปรโตไทป์ ที่มิตซูบิชิผลิตขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะครับ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแข่งรถ?
พรสวรรค์บอกว่าประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งรถนั้น คือ เวลาขับรถต้องมีสมาธิ คิดอยู่เสมอว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ต้องทันต่อเหตุการณ์ ทันเกมของคู่แข่ง เพราะว่าถ้าพลาดเพียงนิดเดียวนั่นหมายถึงชีวิต
“ เวลาที่ขับรถนั้นผมจะมีสมาธิอยู่เสมอ ถึงแม้จะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้างแต่หน้าที่ของเราก็คือจะต้องพารถไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ โดยที่คนกับรถจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง นั่นล่ะที่เราจะชนะคู่แข่งได้ครับ นอกเหนือจากสมาธิก็คือสติ เพราะเวลาผมอยู่บนสนามแข่งนั้นผมจะไม่สนใจอย่างอื่นเลยนอกจากการแข่งขันเพราะถ้าเราพลาดแต่เพียงเสี้ยววินาทีชีวิตของเราอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้”
พรสวรรค์บอกว่าไม่ใช่ตั้งแต่แข่งมานั้นจะไม่เคยได้รับการบาดเจ็บเพียงแต่ว่าน้อยครั้งที่จะเกิดเหตุแบบนี้เพราะก่อนแข่งขันทุกครั้งเขาจะทำการเช็คระบบความปลอดภัยร่วมกับทีมงานด้วยทุกครั้งเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด
สนามไหนที่คิดว่าประทับที่สุด?
“ผมประทับใจสนามที่ PARIS – DAKAR ที่ผมชนะรายการนี้ที่เป็นความฝันสูงสุดของนักแข่งรถทุกคนที่อยากมาแข่งสนามนี้ เพราะผมรู้สึกว่านี่เป็นชัยชนะที่แท้จริงของผม”
สำหรับการแข่งขันในแต่ละครั้งพรสวรรค์บอกว่าเขาไม่ได้หวังเพียงชัยชนะเท่านั้น แต่การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักนั่นคือความสุขที่แท้จริง “ผมเป็นคนรักความเร็วมากกว่าไม่ได้สนใจที่จะชนะเพียงอย่างเดียว จริงอยู่ว่าการชนะนั้นเราก็จะภูมิใจแต่เหนือสิ่งอื่นใดเรารู้สึกว่าเราชนะตัวเองได้ และเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก แต่การที่จะชนะได้ก็ต้องมีทีมงานที่ดีด้วยไม่ใช่ว่าเราจะสามารถชนะได้เพียงคนเดียว ชัยชนะนั้นจะไม่มีความหมายเลยถ้าเราไม่มีทีมงานที่ดีครับ”
คิดว่าจะแข่งรถไปอีกนานแค่ไหน?
“มาถึงจุดนี้ได้ ผมคิดว่าบรรลุความฝันของผมแล้วครับ เพราะยังมีไม่กี่คนที่จะมาถึงตรงนี้ได้ แต่ที่สำคัญผมได้ทำในสิ่งที่ผมรักแค่นั้นก็ดีที่สุดแล้ว ถ้าถามว่าผมจะเกษียณตัวเองเมื่อไหร่ คิดว่าคงไม่เกิน 3 ปีนี้ เพราะว่าช่วงหลังๆทำเวลาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็จะพยายามแข่งให้ดีที่สุดเหมือนทุกครั้งครับ”
แต่ถึงแม้ว่าพรสวรรค์จะโบกมือลาวงการแข่งรถไปในอีกไม่กี่ปี วงการนี้ก็จะมีคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองนั่นก็คือลูกชายคนโตของเขานั่นเอง “ตอนนี้ผมแข่งรถกับลูกชายผมบ่อยๆครับ ผมแพ้เขา กิโลเมตรละ 2 วินาที จึงคิดว่าเขาจะมาสานฝันของผมต่อในอนาคตแน่นอน เพราะเขาเริ่มหัดขับรถมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตอนนี้ก็อายุ 21 แล้ว”
บนเส้นทางแข่งรถกว่า 27 ปี กับชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ พรสวรรค์ ศิริวัฒนกุล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสิงห์ทะเลทรายของไทยคนนี้ “ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง” เชื่อว่าชีวิตที่รักการผจญภัยเช่นนี้ไม่มีวันจบแน่นอน!!