คราวนี้ “ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง” ได้กล่าวถึงจุดกำเนิดของโฟล์คเต่ากันไปแล้ว มาตอนที่ 2 นี้จะเป็นเรื่องของการผลิตรุ่นเปิดประทุนและการผลิตครบ 100,000 คันในปี 1950 นอกจากนี้ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1972 ยอดการผลิตของโฟล์คเต่าอยู่ที่ 15,007,034 คัน ซึ่งเท่ากับว่าสามารถแซงหน้าสถิติของ ฟอร์ด โมเดล Tได้สำเร็จทำให้โฟล์คเต่ากลายเป็นรถยนต์ ที่มียอดผลิตสูงสุดในโลก (ก่อนที่จะโดยรุ่นกอล์ฟแซงในปี 2002)
รุ่นเปิดประทุนของโฟล์คเต่ามีขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 1949 โดยคาร์มานน์เป็นผู้รับผิดชอบในการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา ความจริงแล้วโครงการผลิตรุ่นเปิดประทุนของโฟล์คเต่ามีมาตั้งแต่ปี 1948 ในยุคที่ไฮน์ริช นอร์ดฮอฟฟ์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงานโฟล์คสวาเกน ซึ่งเขาเป็นผู้ปรับปรุงระบบการผลิต และเป็นคนที่เอ่ยประโยคอมตะ “THE BEETLE HAS AS MANY FAUL AS A DOG HAS FLEAS” ที่แสดงให้เห็นถึงรอยรั่วของระบบการผลิต ซึ่งมีมากเหมือนกับหมัด- เห็บบนตัวสุนัข
นอร์ดฮอฟฟ์ใช้เวลานานในการคิดหาทางออกเพื่อกระตุ้นให้ยอดจำหน่ายของ โฟล์คเต่ามีมากขึ้น และในปี 1948 เขาได้ว่าจ้าง JOSEPH HEBMULLER COM-PANY ผลิตรุ่นต้นแบบของโฟล์คเต่าเปิดประทุนออกมา 3 คันโดยมีข้อบังคับว่า จะต้องใช้ชิ้นส่วนของรุ่นแฮทช์แบ็ก (หรือในเอกสารของโฟล์คสวาเกนเรียกว่า SEDAN) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
JOSEPH HEBMULLER ได้รับโอกาสในการผลิตโฟล์คเต่าเปิดประทุนในเวอร์ชันหรูพร้อมกับตกแต่งรายละเอียดภายในอย่างสุดบรรเจิด ซึ่งสวนกับหลักการพื้นฐานของตัวรถ ขณะที่คาร์มานได้รับงานผลิตแบบยกล็อตสำหรับคนทั่วไป ผลที่ได้ คือ ตลอด 4 ปี ที่ทำตลาด เวอร์ชันเปิดประทุนของ JOSEPH HEBMULLER ผลิตขายได้เพียง 696 คัน เท่านั้น
โฟล์คเต่ากลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ตัวรถขายดีเหมือนแจกฟรี ในปี 1950 ทำยอดผลิตครบ 100,000 คัน และเพิ่มเป็น 250,000 คันในปี 1951 ซึ่งเป็นตัวเลขของยอดการผลิตพุ่งพรวดสวนทางกับวัตถุดิบที่มีอยู่ในตลาด จนทำให้ต้องหยุดการผลิต และลดชั่วโมงทำงานลงชั่วคราว แต่ถึงกระนั้นในปี 1952 ยอดการผลิตต่อปีของโฟล์คเต่าก็เกิน 100,000 คันเป็นครั้งแรก และในปี 1953 ก็ฉลองครบ 5 แสนคัน โดยที่ในช่วงเวลานั้น โฟล์คเต่าครองส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์นั่งของเยอรมันตะวันตก(ในตอนนี้) ถึง 42.5%
ในปี 1955 ตัวเลขการผลิตครบ 1 ล้านคัน และในปี 1967 ฉลองการผลิตครบ 10 ล้านคันโดยมีโรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่งในเยอรมนี คือ เมืองฮันโนเวอร์, คาสเซล, บรันสวิค, เอมเดน และล่าสุดคือโวล์ฟบวร์ก
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1972 เป็นวันที่ปวงชนชาวโฟล์คสวาเกนไม่มีวันลืม เพราะยอดการผลิตของโฟร์คเต่าอยู่ที่ 15,007,034 คัน ซึ่งเท่ากับว่าสามารถแซงหน้าสถิติของ ฟอร์ด โมเดล ที่ได้สำเร็จทำให้โฟล์คเต่ากลายเป็นรถยนต์ ที่มียอดผลิตสูงสุดในโลก (ก่อนที่จะโดยรุ่นกอล์ฟแซงในปี 2002)
การเดินทางของเต่าทอง
• 1949 : 8 มกราคม มีการส่งโฟล์คเต่า 2 คันจากเนเธอร์แลนด์ไปที่สหรัฐอเมริกา และ 13 พฤษภาคม โฟล์คเต่าคันที่ 50,000 ซึ่งถูกผลิตขึ้นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ก็ออกจากสายการผลิต ตามด้วยในวันที่ 1 มิถุนายน เปิดตัวรุ่น EXPORT MODEL ซึ่งต่างจากรุ่นมาตรฐานตรงที่ห้องโดยสารสะดวกสบายและหรูหรากว่า และในวันเดียวกันนั้นเปิดตัวรุ่นเปิดประทุนรุ่น TYPE 15 ซึ่งได้รับการผลิตตัวถังจากคาร์มานน์
• 1950 : เปิดตัวรุ่นหลังคาผ้าใบแบบพับได้ในเดือนเมษายน แต่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษรวมถึงนำระบบเบรกแบบไฮดรอลิกมาใช้เป็นครั้งแรก
• 1951 : ส่งโฟล์คเต่าออกทำตลาดถึง 29 ประเทศทั่วโลก และในเดือนตุลาคม การผลิตทะลุเข้าสู่หลัก 250,000 คัน และในรุ่นพื้นฐานมีการเพิ่มช่องระบายอากาศที่ด้านหน้ารถ ส่วนรุ่นส่งออกตกแต่งข้างในใหม่ด้วย WOLFBURG COAT โช้กอัพแบบ TELESCOPIC ซึ่งเข้ามาแทนที่แบบแหนบ
• 1952 : รุ่นส่งออกมีการปรับปรุงอีกครั้งในเดือนตุลาคมด้วยระบบเกียร์แบบ SYNCHRONIZED ล้อขนาด 15 นิ้ว และกระจกหูข้าง
• 1953 : กระจกบังลมแบบ PRETZEL เข้ามาแทนที่แบบกระจกบังลมหลังรูปไข่ (LARGE OVAL) ในวันที่ 10 มีนาคม และ 3 กรกฎาคม การผลิตเข้าสู่หลัก 500,000 คัน ส่วนการส่งออกขยายตลาดไปได้ถึง 86 ประเทศทั่วโลก
• 1954 : มกราคม เปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์ 30 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
• 1955 : 8 สิงหาคม ฉลองยอดการผลิตครบ 1 ล้านคัน และเพิ่มรุ่นพิเศษเข้ามาเช่น ชันรูปแบบ PVC ,ปลายท่อไอเสียคู่ และไฟท้ายทรงใหม่
• 1956 : เปลี่ยนมาใช้ยางแบบไม่มียางใน รวมถึงมอเตอร์ที่ปัดน้ำฝนซึ่งทำงานได้ดีขึ้น และไดสตาร์ตที่ทนทาน
• 1957 : เปลี่ยนกระจกบังลมหลังอีกครั้ง มีขนาดใหญ่ และออกแบบแผงหน้าปัดใหม่
• 1958 : ติดตั้งกระจกมองข้างขนาดใหญ่ที่ฝั่งผู้ขับ
• 1959 : สิงหาคมเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของรุ่นส่งออกกับรหัส VW 1200 34 แรงม้า (HP) และเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะแบบ FULLY SYNCRONIZED
• 1962 : ฉลองการผลิตครบ 5 ล้านคัน
• 1964 : ก่อตั้งบริษัท VOLKSWAGEN DE MEXICO S.A. DE C.V. ในแม็กซิโก ซิตี้ พร้อมกับตั้งสายการผลิตที่นั่น และในเดือนพฤศจิกายน รุ่น มาตรฐาน VW 1200 เพิ่มรุ่นเกียร์ SYNCHROMIZED และในวันที่ 1 ธันวาคมเริ่มการผลิตที่โรงงานเอมเดน ประเทศเยอรมนี
• 1965 : เปิดตัวรุ่น 1200 A พร้อมเครื่องยนต์ 34 แรงม้า (HP) ส่วนรุ่นส่งออก VW 1300 มีกำลัง 40 แรงม้า (HP)
• 1966 : เปิดตัวรุ่นมาตรฐาน VW 1300 A ซึ่งเข้ามาแทนรุ่น 1200 A เครื่องยนต์เปลี่ยนจาก 34 แรงม้า (HP) เป็น 40 แรงม้า (HP) กุญแจประตูและกุญแจสตาร์ตใช้ดอกเดียวกันได้และในเดือนกรกฎาคม ยุติการผลิตรุ่น VW 1200 A ส่วนเดือนสิงหาคม เปิดตัวรุ่น VW 1500 เครื่องยนต์ 44 แรงม้า (HP) พร้อมดิสก์เบรก
• 1967 : ฉลองการผลิตครบ 10 ล้านคัน พร้อมเปิดตัวรุ่น ECOMONY BEETLE เครื่องยนต์ 34 แรงม้า พร้อมกับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดในรุ่นธรรมดา และรุ่นส่งออก ส่วนรุ่น VW 1500 มีเกียร์อัตโนมัติเป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษ และระบบช่วงล้างหลังเปลี่ยนเป็นแบบเซมิ – เทรลลิงอาร์ม
• 1969 : เปิดตัวรุ่น VW 1300 L ตกแต่งตามใจลูกค้า
• 1970 : เปิดตัวรุ่น 1302 (34 และ 40 แรงม้า) และรุ่น 1302S (50 แรงม้า) ช่วงล่างหน้าแบบ สตรัต และ DOUBLE-JOINTED ที่ด้านหลัง ในรุ่น 1302 มีทั้งแฮทช์แบ็กและเปิดประทุน ในเดือนกรกฎาคมเลิกผลิตรุ่น VW 1500
• 1971 : ขยายขนาดของกระจกบังลมหลังอีกครั้ง
• 1972 : วันที่ 17 กุมภาพันธ์ทำลายสถิติยอดผลิตสูงสุดในโลกของฟอร์ดทีโมเดล ด้วยยอดผลิต 15,007,034 คัน และในเดือนสิงหาคม มีการผลิตเวอร์ชัน PANORAMA BEETLE ให้กับรุ่น VW 1303 เครื่องยนต์ 44 และ 50 แรงม้าซึ่งเข้ามาแทนรุ่น VW 1302 และเปิดตัวรุ่น VW 1300 S เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี.
เอื้อเฟื้อข้อมูลโดยนิตยสารฟอร์มูลา
**โปรดติดตามตอนต่อไปในวันที่ 24 ส.ค. 47**