xs
xsm
sm
md
lg

ทีดีอาร์ไอ เสนอโมเดลใหม่พัฒนาประเทศไทย หวังพ้นกับดักรายได้ปานกลางใน 16 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทีดีอาร์ไอ จัดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568
ทีดีอาร์ไอจัดสัมมนาสาธารณะ “ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ” เสนอแนวทางสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยเครื่องจักรใหม่ในยุคโลกาภิวัฒน์ย้อนกลับ สู้สงครามการค้า เสนอทางออกเน้น “พัฒนาแบบลีน” ลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็น สร้าง “Good Jobs” ให้คนมีงานที่ดีทำ หนุนเปิดเสรีการค้า ยกระดับนวัตกรรม-พัฒนาทักษะ พร้อมปรับบทบาทภาครัฐและแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และที่สำคัญคือการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เชื่อหากทำเรื่องสำคัญเหล่านี้ได้สำเร็จ ไทยจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ในอีก 16 ปี แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็เสี่ยงเศรษฐกิจเติบโตต่ำยาวนาน จนอาจไม่พ้นกับดักรายได้ปานกลางเลย

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ในหัวข้อ “Reimagining Thailand's Development Model: ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ" ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ โดยนำเสนอทิศทางการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในโลกที่ไม่เหมือนเดิมจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกผ่าน 5 หัวข้อ 1. เครื่องจักรการเติบโตใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ 2. การสร้างนโยบายอุตสาหกรรมใหม่เพื่อสร้างการเติบโต 3. การกำหนดนโยบายการค้า-การลงทุนใหม่เพื่อสร้างการเติบโต 4. การพัฒนาทักษะและนวัตกรรมสู่โมเดลการพัฒนาใหม่ และ 5. การปรับบทบาทภาครัฐไทยในโลกใหม่ โดยมี ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการทีดีอาร์ไอ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวเปิดงาน และมีการแสดงปาฐกถาของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในหัวข้อ “รัฐบาลกับการขับเคลื่อนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย”


ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวในหัวข้อ "เครื่องจักรการเติบโตใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ" ว่า ในปัจจุบันการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยแทบจะต่ำสุดในเอเซียตะวันออก หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง แม้อัตราว่างงานไม่มาก แต่ค่าจ้างแรงงานของคนไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่อง ซึ่งหากไม่สามารถสร้างงานที่ดีให้คนไทยทำ ก็มีความเสี่ยงที่ไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีธุรกิจสีเทามากขึ้น ทั้งความเสี่ยงต่อการฟอกเงินรวมถึงการเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพอย่างคอลเซนเตอร์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สร้างงานที่ดีหรือ “Good Jobs” ให้แก่คนไทย

ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าเป็นเพราะศักยภาพทางเศรษฐกิจตกต่ำลง ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่หลายรัฐบาลมักทำจะไม่บรรลุผล ต้องปรับนโยบายภาคการผลิต เนื่องจากเครื่องจักรการผลิตของไทยที่ทำรายได้ให้ประเทศ เช่น การส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมตลอดจนการท่องเที่ยว ซึ่งเคยมีบทบาทในการ “แบกประเทศ” มานานได้ชะงักลง จากปัจจัยหลายอย่างเช่น การขาดแรงงานที่มีทักษะ งบลงทุนของภาครัฐลดลง แม้จะมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีมูลค่ามาก แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องในประเทศได้เท่าที่ควร รวมทั้งมีปัญหากฎระเบียบที่ทำให้การทำธุรกิจเป็นไปได้ยาก ตลอดจนมีการลงทุนวิจัยพัฒนาที่น้อยเกินไป ในขณะที่งานวิจัยที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นการจะทำให้ภาคการผลิตของไทยกลับไปสู่ระดับเดิมถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัฒน์ย้อนกลับที่มีการกีดกันทางการค้าในวงกว้าง

“ตลาดใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐฯ ปิดตัวลง ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนในอดีตจากภาษีศุลากรในอัตราสูงที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี สร้างความท้าทายให้กับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็กที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทย ขณะที่สหภาพยุโรปเองก็มีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด เช่น มาตราการ CBAM ที่จะบังคับใช้ในปีหน้า ส่วนจีนก็ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมล้นเกิน ทำให้การส่งออกไทยจะยากขึ้นเพราะจะแข่งขันด้านราคาไม่ได้ และยังถูกตีตลาดภายในด้วย”

ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ไทยมีแรงงานลดลงจากสังคมสูงวัย และมีเงินทุนที่จำกัด ดังนั้นสิ่งที่ไทยควรทำเป็นอันดับแรกคือ การพัฒนาแบบ “ลีน” ให้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ใช้กำลังคนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุด โดยลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร นอกจากนี้จะต้องเร่งสร้างงานดี หรือ Good Jobs ซึ่งหมายถึงงานที่มีค่าตอบแทนดี สวัสดิการเพียงพอ มีความมั่นคงพอสมควร แต่การที่จะมีทำงานที่ดีได้นั้น คนไทยจะต้องมีทักษะที่มากขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องสร้างการเจริญเติบโตผ่านเครื่องจักรใหม่หลายตัวซึ่งสามารถแบกประเทศต่อไปได้

“กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีความเข้มแข็งกว่าเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังลดต่ำลงในช่วงที่ผ่านมา และมีสัดส่วนบริษัทที่ประสบปัญหาขาดทุนในปีที่แล้วจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทในสาขาอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งขาดทุนในปีที่แล้วถึง 30% ตามมาด้วยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และสาขาอุปโภค” ดร.สมเกียรติระบุ

ดร.สมเกียรติ เสนอแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ว่า นอกจากการพัฒนาแบบ “ลีน” แล้ว ประเทศไทยจะต้องเปิดเสรีทางการค้าให้มากขึ้น สนับสนุนการลงทุนในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งสนับสนุนธุรกิจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ซึ่งหากทำได้ ประเทศไทยจะยกระดับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจากปัจจุบันที่ระดับประมาณ 2.3 % ให้เป็น 4.7 % ต่อปีได้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี ซึ่งจะทำให้ไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ใน 16 ปีต่อจากนี้ โดยโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของไทยจะเปลี่ยนโฉมไป ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมมีขนาดเล็กลง ในขณะที่ภาคบริการสมัยใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้น และเป็นแกนหลักในการสร้างงานที่ดี ทำให้คนไทยมีกำลังบริโภค ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจภายในมากขึ้น

“ในการปรับไปสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ เราต้องใช้จินตนาการใหม่ที่เชื่อมั่นว่าการปรับเปลี่ยนประเทศไทยเป็นสิ่งที่ทำได้จริง หัวใจสำคัญคือการสร้าง ‘นโยบายอุตสาหกรรมใหม่’ เพื่อให้เกิดงานที่ดี ขณะเดียวกันก็ต้องปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาในด้านต่างๆ ให้สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นปรับกติกาการค้าการลงทุน การปรับการพัฒนาทักษะและนวัตกรรม ตลอดจนการปรับบทบาทภาครัฐและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค” ดร. สมเกียรติระบุ


๐ ชี้นโนบายอุตสาหกรรมแบบเก่าดึงดูดเงินลงทุนมาก แต่ผลประโยชน์ตกถึงคนไทยน้อย ทำให้คุณภาพชีวิตคนไทยไม่ถูกยกระดับไปด้วย แนะตั้งโจทย์ใหม่ ทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก ธุรกิจขนาดเล็กไม่ค่อยได้ประโยชน์ หันใช้มาตรการที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกขนาด และปรับเป้าหมายจากการเติบโตเชิงปริมาณสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ

ด้าน ดร.พุทธิพันธ์ หิรัณยตระกูล และดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการทีดีอาร์ไอกล่าวในหัวข้อ “การสร้างนโยบายอุตสาหกรรมใหม่เพื่อสร้างการเติบโต”ว่า นโยบายอุตสาหกรรมของไทยแม้จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้จำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้เท่าที่ควร สะท้อนข้อจำกัดของนโยบายแบบเก่าที่มุ่งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อดึงดูดเงินทุน มากกว่าการลงทุนพัฒนาคน ผลก็คือผลประโยชน์จากการลงทุนตกไปไม่ถึงคนไทยในวงกว้างอย่างที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันมาตรการภาษีเริ่มได้ผลน้อยลงในบริบทเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป

ดังนั้น โจทย์สำคัญของนโยบายอุตสาหกรรมยุคใหม่ จึงอยู่ที่การออกแบบมาตรการสนับสนุนรูปแบบใหม่ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจ และทำให้คนไทยได้รับประโยชน์มากขึ้นจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ โดยนโยบายใหม่นี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทั้ง เป้าหมาย เครื่องมือ และกระบวนการ ในส่วนเป้าหมายนั้น ต้องเปลี่ยนจากการเน้นตัวเลขเชิงปริมาณ ไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่คนไทย ด้วยการสร้างงานที่ดี ส่วนเครื่องมือ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมและตอบโจทย์เฉพาะของอุตสาหกรรมและธุรกิจขนาดต่าง ๆ และที่สำคัญคือ ในด้านกระบวนการ จะต้องมีการประเมินความคุ้มค่าของนโยบายอย่างเข้มข้น มีการติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงนโยบายอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีกระบวนการที่บูรณาการระหว่างรัฐกับรัฐ และรัฐกับเอกชน ทั้งหมดนี้เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกการสนับสนุนจากภาครัฐจะนำไปสู่การยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างแท้จริง


๐ ห่วงนโยบายการค้า-การลงทุน ไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยโต ชี้โครงสร้างภาษีลักลั่น ไม่สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทย ในขณะที่โควตานำเข้าสร้างปัญหามาก แนะปรับโครงสร้างภาษี เปิดเสรีการลงทุน เร่งรับมือการค้าที่ไม่เป็นธรรม และรุกเปิดตลาดส่งออกใหม่

ขณะที่หัวข้อ "การกำหนดนโยบายการค้า-การลงทุนใหม่เพื่อสร้างการเติบโต" นายเนวิน สินสิริ ที่ปรึกษาด้านภูมิเศรษฐกิจ ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ไทยจำเป็นต้องปรับนโยบายให้สอดคล้องกับทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะโครงสร้างภาษีนำเข้าที่ปัจจุบันไม่ได้สร้างแต้มต่อให้กับการผลิตในประเทศเหมือนอดีต แต่กลับทำให้ผู้ผลิตไทยเสียเปรียบด้านต้นทุน เช่น ผู้ผลิตสินค้าในประเทศต้องเสียภาษีนำวัตถุดิบ และชิ้นส่วนที่สูงกว่าอัตราภาษีของสินค้าสำเร็จรูป

นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดทางการค้าภาคบริการสูงเป็นอันดับ 4 จาก 51 ประเทศตามการประเมินของโออีซีดี ซึ่งส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งการทำให้ธุรกิจบริการหลายอย่างไม่เกิดการแข่งขัน เช่น โทรคมนาคม นอกจากนี้บริการหลายอย่างก็เกิดการลงทุนผ่านใช้นอมินี ซึ่งขาดความรับผิดชอบและทำให้ตรวจสอบได้ยาก ขณะเดียวกันไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก เช่น มาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้นของประเทศคู่ค้า และการทะลักเข้าของสินค้าคุณภาพต่ำราคาถูก


ทีดีอาร์ไอจึงเสนอให้ปรับนโยบายการค้าการลงทุนมุ่งสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ โดยเน้นสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ยกระดับมาตรฐานภาคการผลิต และเปิดเสรีในการลงทุน เช่น อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นในสาขาบริการได้เกิน 50% เปิดให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และทักษะแก่คนไทย พร้อมกันนี้ยังต้องปรับโครงสร้างทางภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การปรับภาษีนำเข้าให้เท่าเทียมระหว่างคู่ค้าหลัก และระหว่างวัตถุดิบกับสินค้าสำเร็จรูป ยกเลิกโควตานำเข้าที่เป็นปัญหาต่อการผลิตของผู้ประกอบการในประเทศ ในอีกด้านหนึ่งภาครัฐจะต้องเข้มงวดกับมาตรการรับมือการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทั้งการกำกับการผูกขาด การป้องกันสินค้าและบริการคุณภาพต่ำ ตลอดจนตอบโต้การทุ่มตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันควรเปิดตลาดส่งออกใหม่ผ่านการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) พร้อมวางกลไกรองรับการเปลี่ยนผ่าน เช่น มีกลไกชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี และช่วยธุรกิจรายเล็กและแรงงานในการปรับตัว


๐ ทีดีอาร์ไอ หนุนพัฒนาทักษะ-นวัตกรรม สู่โมเดลการพัฒนาใหม่ ชี้จะสำเร็จได้ต้องเกิด “สามประสาน” ความร่วมมือ “รัฐ-วิชาการ-เอกชน” แต่ในปัจจุบันระบบนวัตกรรมและระบบพัฒนาทักษะแรงงานไทยยังมีข้อจำกัด เสนอบีโอไอปรับมาตราการจูงใจเอกชนผลิตกำลังคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม พร้อมชุบชีวิตสถาบันเฉพาะทางซึ่งจะเป็นตัวกลางเชื่อมโยงสามฝ่ายเข้าด้วยกัน

ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และนายณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์ นักวิจัยอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวในหัวข้อ “การพัฒนาทักษะและนวัตกรรมสู่โมเดลการพัฒนาใหม่” ว่า โมเดลการพัฒนาใหม่ของไทยต้องอาศัยการประสานการทำงานในสามภาคส่วนระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาควิชาการ โดยภาครัฐต้องทำหน้าที่กำหนดกติกา มาตรการสนับสนุน และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนา ภาควิชาการต้องสร้างองค์ความรู้จากการวิจัยที่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ และผลิตกำลังคนที่มีทักษะ ขณะที่ภาคเอกชนนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้จริงเพื่อยกระดับผลิตภาพและการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม ระบบนวัตกรรมของไทยไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนโมเดลการพัฒนาใหม่ แม้ว่าจะมีตัวอย่างความร่วมมือในบางอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้านสุขภาพอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีจำนวนไม่มากและยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เช่น เงินลงทุนด้านวิจัยและพัฒนายังอยู่ในระดับต่ำ และการวิจัยที่เกิดขึ้นไม่สามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจหรือเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างเพียงพอ

ดังนั้น เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชนของไทยให้มีประสิทธิผล จำเป็นต้องปรับบทบาทของภาครัฐให้สนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเอกชนมากขึ้น ได้แก่ การสนับสนุนให้เอกชนรวมตัวกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งผ่านแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand การกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง การจัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชนให้มากขึ้น การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยให้ความร่วมมือ 3 ฝ่ายเกิดขึ้นจริง และเป็นรากฐานสำคัญของการยกระดับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว


อย่างไรก็ตาม การสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานไทยควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้นโยบายภาครัฐในปัจจุบันยังแยกส่วนระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีออกจากการพัฒนาทักษะ นอกจากนี้มาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานยังล้มเหลว โดยพบว่ากว่า 99.6% ของบริษัท จัดฝึกอบรมให้ลูกจ้างเพียงเพื่อทำตามกฎหมายและไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเท่านั้น ไม่ได้เน้นการพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

“ตราบใดที่เทคโนโลยีใหม่ไม่ถูกนำไปใช้เพราะคนขาดทักษะ และตราบใดที่การพัฒนาทักษะไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องไป ประเทศไทยก็จะไม่สามารถยกระดับผลิตภาพและสร้างงานดีมีรายได้สูงได้ ทางออกจึงต้องมุ่งเป้าไปที่การสร้างกลไกเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชนกับภาควิชาการอย่างใกล้ชิด โดยมีภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนหลัก”

ทีดีอาร์ไอ จึงเสนอแนวทางปฏิรูปทักษะคู่เทคโนโลยี ผ่าน 2 กลไกสำคัญ คือ 1. การสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนหันมาร่วมมือกับภาควิชาการในการผลิตกำลังคน และทำวิจัยที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมจริง พร้อมทั้งปรับ KPI และจัดสรรงบประมาณเพื่อจูงใจภาคการศึกษาให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคเอกชนมากขึ้น และ 2. ชุบชีวิตสถาบันเฉพาะทางอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้กลับมามีบทบาททำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของอุตสาหกรรมเข้ากับภาควิชาการ เพื่อสร้างระบบที่การพัฒนานวัตกรรมและการพัฒนาทักษะเกิดขึ้นควบคู่กัน


๐ ห่วงขีดความสามารถรัฐไทยตามหลังอาเซียน แนะปรับบทบาทให้รัฐเป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เสนอตั้ง 3 อนุ.กก. “ทักษะ-นวัตกรรม-กฎระเบียบ” เพื่อต่อยอด Reinvent Thailand แนะทบทวนกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค-เพิ่มความสะดวก หนุนใช้ ‘Super license’ ออกใบอนุญาตที่ครอบคลุมในใบเดียว

ดร.บุญวรา สุมะโน และดร.กิรติพงศ์ แนวมาลี นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ กล่าวในหัวข้อ “บทบาทภาครัฐไทยในโลกใหม่” ว่า ขีดความสามารถภาครัฐไทยโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำและถดถอยลง โดยจากเดิมที่เคยเก่งอันดับ 2 ในอาเซียนเมื่อ 30 กว่าปีก่อน กลับตกต่ำลงมาในปัจจุบันจนตามหลังทั้งมาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งทำให้ภาครัฐไม่สามารถเป็นผู้นำในการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมได้ บทบาทใหม่ของภาครัฐไทยจึงควรเป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชนที่รับรู้ปัญหาและมีความเข้าใจมากกว่า แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการมีมาตรการป้องกันการเกิดระบบอุปถัมภ์ และคอร์รัปชัน โดยในปัจจุบันมี Reinvent Thailand ซึ่งเป็นร่างพิมพ์เขียวความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอยู่แล้ว จึงควรผลักดันให้เกิดขึ้นจริง โดยเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคส่วนอื่นและต่อยอดการทำงาน ติดตามมาด้วยการตั้งคณะอนุกรรมการใน 3 ด้านที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ คือ ทักษะ นวัตกรรม และกฎระเบียบ

ในส่วนของคณะอนุกรรมการด้านกฎระเบียบภายใต้ Reinvent Thailand นั้น ควรเป็นการร่วมกันทำงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคส่วนอื่นอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคฉุดรั้งการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ โดยมีการดำเนินงานร่วมกันอย่างน้อย 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. การทบทวนกฎระเบียบเป็นกลุ่มตามประเด็น (Thematic Review) ที่มองภาพใหญ่ทั้งกระบวนการแทนการทบทวนแยกทีละฉบับ 2. การอำนวยความสะดวกด้วยการออกใบอนุญาตแบบ Super license และ 3. กำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจที่ใช้ได้จริง

เวทีเสวนา “ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ในการพัฒนา”
จากนั้นเป็นเวทีเสวนา “ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ในการพัฒนา” โดยมีดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูต และกรรมการทีดีอาร์ไอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนร่วมเสวนา ./


กำลังโหลดความคิดเห็น