"Raise your words, not your voice, it's rain that grows flowers, not thunder." --- Rumi
คำพูดที่เราใช้สื่อสารกัน ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ไว้ใช้ติดต่อกัน
แต่คำพูดเป็นผลจากสิ่งที่แต่ละคนได้พบได้เจอ สะท้อนออกมาชัดเจนให้เห็นอย่างแรกคือ คำพูด และการพูดซ้ำ ๆ จะเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ใหญ่หลวงมากที่จะทำให้เราได้เจอสิ่งที่เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
อ่านดูแลแล้ว บางคนอาจไม่เชื่อและมองเป็นเรื่องไร้สาระ พลังคำพูด มีด้วยหรือ ดูเป็นเรื่องเร้นลับ
แต่นี่คือหลักการของวิทยาศาสตร์ ที่หลายวัฒนธรรม ถึงขั้นนำมาเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ เช่น
คนจีนไม่ให้ทะเลาะ หรือเถียงกันบนโต๊ะรับประทานอาหาร
คนคริสต์มีความเชื่อว่า Word is God.
หรือศาสนาพุทธ ก็มีคติสอนในเรื่องของปิยวาจา พูดให้ไพเราะ ไม่เพ้อเจ้อ ไม่นินทา
การที่เราสื่อถ้อยคำออกมา จะดึงดูดทุกสิ่ง ตามคลื่นเสียงที่ออกมาจากตัวเรา ซึ่งนี่คือวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการพิสูจน์และทดลองมาแล้ว
คุณหมอชาวญี่ปุ่น Dr. Masaru Emoto ได้ทำการทดลองเรื่องคำพูดที่มีผลต่อผลึกน้ำ ในปี 2004
โดยการนำน้ำไปวางข้างหน้าคนที่ คิดดีกับผู้อื่น และให้พูดแต่คำที่สื่อความหมายบวกออกมา เช่นการขอบคุณ (Thank you) ความรัก (I love you.)
อีกแก้วนำไปวางไว้หน้าคนที่มีจิตคิดลบ และให้ด่าทอ ว่ากล่าวผู้อื่นใส่น้ำ (You fool me. / You make me sick.)
ผลออกมาคือ ผลึกน้ำที่ผ่านการสวดมนต์ พูดในสิ่งดี จะเรียงเป็นผลึกสวยงาม ส่วนถ้าเป็นผลึกน้ำที่ผ่านการด่าทอ ใส่คำลบจะออกมาเป็นผลึกที่สะเปะสะปะ
ในร่างกายของมนุษย์มีน้ำอยู่ 70% ของร่างกาย หากเราพูดลบ คิดแย่บ่อย ๆ ก็สามารถส่งผลต่อสุขภาพของเจ้าของคำพูดลบนั้นได้
แต่ละคำพูดที่เหมือนว่าเป็นอิสระของเรา จะพูดอย่างไรก็ได้ ในความเป็นจริงแล้ว คำพูดมีความสำคัญมากเพราะเป็นตัวกำหนดความสุข และทุกข์ในแต่ละวัน เพราะคำพูดมีผลหล่อหลอมความเป็นจริงกับสิ่งที่เราจะได้พบเจอ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว
พูดดีบ่อย ๆ พูดให้กำลังใจคนอื่น ๆ ซ้ำ ๆ ตัวเราเองก็เป็นคนเข้มแข็ง
พูดให้ร้ายผู้อื่นมาก ๆ ซ้ำ ๆ ชีวิตก็พบแต่เรื่องที่ไปว่าผู้อื่น
หลาย ๆ ครั้งคำพูดแค่ไม่กี่คำ สร้างกำลังใจ ในขณะเดียวกันคำพูดบางคำก็ทำลายพลังชีวิตของคนอื่น ทำให้คนล้มป่วย ไม่มีแรงต่อสู้ชีวิต ดังนั้นก่อนจะพูดในเชิงลบ ตำหนิใคร ผู้พูดต้องไตร่ตรองให้มาก
การฝึกพูด ไม่ใช่เพียงแค่ฝึกพูดคำคมคาย ฝึกพูดเสียดแทง ให้ผู้อื่นเจ็บไม่มีวันลืม
แต่การฝึกพูด ควรฝึกพูดให้ใช้คำที่ฟังแล้ว สบายใจ ส่งพลังดี ๆ ให้สังคม สร้างสรรค์พลังชีวิตให้คนรอบข้าง ให้คนที่กำลังเปราะบางพร้อมจะลุกขึ้นสู้ชีวิตต่อไป
ชีวิตที่แต่ละคนประสบมองผิวเผินแล้วเหมือนเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนด แต่ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวย้ำให้เราอยู่ในวงจรใดวงจนหนึ่งไม่รู้จบคือคำพูดของเรานั่นเอง
ประสบการณ์ของชีวิตที่จะก้าวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ต้องใช้เวลา และตัวขับเคลื่อนคือ พลัง (enegy) คลื่น ความถี่(frequency) และแรงสั่นสะเทือน (vibration)
หากเราฝึกใช้คำพูดดีๆ สร้างพลังบวกในตัวเรา และฝึกพูดดีๆบ่อยๆซ้ำๆ จนเป็นนิสัย แน่นอนพลังสั่นสะเทือนของสิ่งดีจะสูงมาก และดึงให้เราก้าวข้ามจากจุดหนึ่งไปยังจุดที่ดีกว่าอย่างง่ายดาย ที่ดูเหมือนไม่ต้องพยายามมาก
ลองสังเกตให้ดี ถึงความแตกต่างของชีวิตของคนพูดเพราะ และพูดไม่เพราะ
สังคมปัจจุบัน เวลาคนเรามีปัญหา เรามักถูกปลูกฝังไปที่ปัจจัยภายนอก เช่น การตำหนิโทษผู้อื่น กล่าวหาสภาพแวดล้อม เช่น "ที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะพ่อแม่ เพราะเพื่อน เพราะ..."
โดยที่ลืมมองปัจจัยเบื้องลึก คือ พลังความคิด ที่เราส่งออกไปในคำพูด เราได้ใช้พลังบวกหรือลบส่งออกมาสู่จักรวาล
หากเราหันมารับผิดชอบความคิด คำพูด พลังของตัวเอง โดยการลงมือฝึกฝนได้ คำพูดของเราที่ถ่ายทอดมาจากเจตนาที่ดี + การกระทำที่ดี = ความเป็นจริงของชีวิตที่เราจะได้เจอ (reality)
แล้วเราก็จะได้พบสิ่งที่ดี สมกับคำพูดที่เป็นพรสวรรค์จากสิ่งศักดิ์สิทธิที่ให้ไว้กับมนุษย์
ดังนั้นวันนี้เราลองลงมือฝึกการพูดจาดีๆต่อกัน สร้างความคิดที่ดีเป็นกำลังใจต่อกัน และส่งผลต่อสิ่งที่เราจะได้พบเจอ
แล้วพบกันสัปดาห์หน้าค่ะ
ครูฮ้วง
---------------------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ
คำพูดที่เราใช้สื่อสารกัน ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ไว้ใช้ติดต่อกัน
แต่คำพูดเป็นผลจากสิ่งที่แต่ละคนได้พบได้เจอ สะท้อนออกมาชัดเจนให้เห็นอย่างแรกคือ คำพูด และการพูดซ้ำ ๆ จะเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ใหญ่หลวงมากที่จะทำให้เราได้เจอสิ่งที่เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
อ่านดูแลแล้ว บางคนอาจไม่เชื่อและมองเป็นเรื่องไร้สาระ พลังคำพูด มีด้วยหรือ ดูเป็นเรื่องเร้นลับ
แต่นี่คือหลักการของวิทยาศาสตร์ ที่หลายวัฒนธรรม ถึงขั้นนำมาเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ เช่น
คนจีนไม่ให้ทะเลาะ หรือเถียงกันบนโต๊ะรับประทานอาหาร
คนคริสต์มีความเชื่อว่า Word is God.
หรือศาสนาพุทธ ก็มีคติสอนในเรื่องของปิยวาจา พูดให้ไพเราะ ไม่เพ้อเจ้อ ไม่นินทา
การที่เราสื่อถ้อยคำออกมา จะดึงดูดทุกสิ่ง ตามคลื่นเสียงที่ออกมาจากตัวเรา ซึ่งนี่คือวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการพิสูจน์และทดลองมาแล้ว
คุณหมอชาวญี่ปุ่น Dr. Masaru Emoto ได้ทำการทดลองเรื่องคำพูดที่มีผลต่อผลึกน้ำ ในปี 2004
โดยการนำน้ำไปวางข้างหน้าคนที่ คิดดีกับผู้อื่น และให้พูดแต่คำที่สื่อความหมายบวกออกมา เช่นการขอบคุณ (Thank you) ความรัก (I love you.)
อีกแก้วนำไปวางไว้หน้าคนที่มีจิตคิดลบ และให้ด่าทอ ว่ากล่าวผู้อื่นใส่น้ำ (You fool me. / You make me sick.)
ผลออกมาคือ ผลึกน้ำที่ผ่านการสวดมนต์ พูดในสิ่งดี จะเรียงเป็นผลึกสวยงาม ส่วนถ้าเป็นผลึกน้ำที่ผ่านการด่าทอ ใส่คำลบจะออกมาเป็นผลึกที่สะเปะสะปะ
ในร่างกายของมนุษย์มีน้ำอยู่ 70% ของร่างกาย หากเราพูดลบ คิดแย่บ่อย ๆ ก็สามารถส่งผลต่อสุขภาพของเจ้าของคำพูดลบนั้นได้
แต่ละคำพูดที่เหมือนว่าเป็นอิสระของเรา จะพูดอย่างไรก็ได้ ในความเป็นจริงแล้ว คำพูดมีความสำคัญมากเพราะเป็นตัวกำหนดความสุข และทุกข์ในแต่ละวัน เพราะคำพูดมีผลหล่อหลอมความเป็นจริงกับสิ่งที่เราจะได้พบเจอ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว
พูดดีบ่อย ๆ พูดให้กำลังใจคนอื่น ๆ ซ้ำ ๆ ตัวเราเองก็เป็นคนเข้มแข็ง
พูดให้ร้ายผู้อื่นมาก ๆ ซ้ำ ๆ ชีวิตก็พบแต่เรื่องที่ไปว่าผู้อื่น
หลาย ๆ ครั้งคำพูดแค่ไม่กี่คำ สร้างกำลังใจ ในขณะเดียวกันคำพูดบางคำก็ทำลายพลังชีวิตของคนอื่น ทำให้คนล้มป่วย ไม่มีแรงต่อสู้ชีวิต ดังนั้นก่อนจะพูดในเชิงลบ ตำหนิใคร ผู้พูดต้องไตร่ตรองให้มาก
การฝึกพูด ไม่ใช่เพียงแค่ฝึกพูดคำคมคาย ฝึกพูดเสียดแทง ให้ผู้อื่นเจ็บไม่มีวันลืม
แต่การฝึกพูด ควรฝึกพูดให้ใช้คำที่ฟังแล้ว สบายใจ ส่งพลังดี ๆ ให้สังคม สร้างสรรค์พลังชีวิตให้คนรอบข้าง ให้คนที่กำลังเปราะบางพร้อมจะลุกขึ้นสู้ชีวิตต่อไป
ชีวิตที่แต่ละคนประสบมองผิวเผินแล้วเหมือนเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนด แต่ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวย้ำให้เราอยู่ในวงจรใดวงจนหนึ่งไม่รู้จบคือคำพูดของเรานั่นเอง
ประสบการณ์ของชีวิตที่จะก้าวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ต้องใช้เวลา และตัวขับเคลื่อนคือ พลัง (enegy) คลื่น ความถี่(frequency) และแรงสั่นสะเทือน (vibration)
หากเราฝึกใช้คำพูดดีๆ สร้างพลังบวกในตัวเรา และฝึกพูดดีๆบ่อยๆซ้ำๆ จนเป็นนิสัย แน่นอนพลังสั่นสะเทือนของสิ่งดีจะสูงมาก และดึงให้เราก้าวข้ามจากจุดหนึ่งไปยังจุดที่ดีกว่าอย่างง่ายดาย ที่ดูเหมือนไม่ต้องพยายามมาก
ลองสังเกตให้ดี ถึงความแตกต่างของชีวิตของคนพูดเพราะ และพูดไม่เพราะ
สังคมปัจจุบัน เวลาคนเรามีปัญหา เรามักถูกปลูกฝังไปที่ปัจจัยภายนอก เช่น การตำหนิโทษผู้อื่น กล่าวหาสภาพแวดล้อม เช่น "ที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะพ่อแม่ เพราะเพื่อน เพราะ..."
โดยที่ลืมมองปัจจัยเบื้องลึก คือ พลังความคิด ที่เราส่งออกไปในคำพูด เราได้ใช้พลังบวกหรือลบส่งออกมาสู่จักรวาล
หากเราหันมารับผิดชอบความคิด คำพูด พลังของตัวเอง โดยการลงมือฝึกฝนได้ คำพูดของเราที่ถ่ายทอดมาจากเจตนาที่ดี + การกระทำที่ดี = ความเป็นจริงของชีวิตที่เราจะได้เจอ (reality)
แล้วเราก็จะได้พบสิ่งที่ดี สมกับคำพูดที่เป็นพรสวรรค์จากสิ่งศักดิ์สิทธิที่ให้ไว้กับมนุษย์
ดังนั้นวันนี้เราลองลงมือฝึกการพูดจาดีๆต่อกัน สร้างความคิดที่ดีเป็นกำลังใจต่อกัน และส่งผลต่อสิ่งที่เราจะได้พบเจอ
แล้วพบกันสัปดาห์หน้าค่ะ
ครูฮ้วง
---------------------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ