วันนี้ถ้าเราอยากรู้อนาคต เราจะตัดสินจากอะไร
คนส่วนใหญ่ 95% ตัดสินจากอดีตที่ผ่านมา และใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นตัวชี้วัดอนาคต และสิ่งที่เหลือเชื่อคือ มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแต่ละวันซ้ำรอยตามอดีตจึงทำให้อนาคตของแต่ละคนเกิดเป็นเรื่องซ้ำๆกับอดีต
แต่ละวันที่เราตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นจะมีสักกี่คน ที่กำลังคิดถึงปัจจุบันที่ตัวเองอยู่โดยไม่ผูกกับอดีต
แต่มีคนกลุ่มหนึ่งในโลก ประมาณ5% ที่เชื่อว่าชีวิตในอนาคตขึ้นอยู่กับการกระทำในปัจจุบัน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับอดีต ซึ่งในนักคิดกลุ่มนี้คือเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ ที่เชื่อว่า อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ หรือแม้จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และเขาเหล่านี้พยายามศึกษาหาปัจจัยหลัก ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอนาคต
หากเราต้องการสร้างอนาคตเราควรให้ความสำคัญกับปัจจุบัน แต่โดยทั่วไปมนุษย์มักยึดอดีตมาเป็นตัวชี้วัดอนาคต เพราะมันง่าย และมีตัวอย่างสนับสนุน จากความทรงจำที่เรายังจำความรู้สึก และภาพได้ดี
แต่หากคิดให้ดี ถ้าเรายังคิดถึงอดีตไปเรื่อยๆ คงเป็นเรื่องยากที่อนาคตจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
เด็กคนหนึ่ง หากเคยผิดพลาด สอบตก และมองว่าตัวเองหัวไม่ดี เพราะเคยสอบตก แม้ว่าต่อมาเมื่อโตขึ้นจะเรียนเก่งขึ้นตาม คน สถานที่ โรงเรียนที่ปลูกฝังให้ตัวเองเก่งขึ้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่กล้าลงมือทำธุรกิจที่มีการเสี่ยงสูง และท้าทาย เพราะในใจลึกๆยังคงติดกับความทรงจำที่ว่า "ผมเป็นคนหัวไม่ดี ไม่ฉลาด"
ไม่ว่า Einstein (Principle of Relativity) Carl Jung (Principle of Uncertainty) หรือนักวิทยาศาสตร์อีกหลายๆคนในปัจจุบัน เชื่อในเหตุบังเอิญ และศรัทธาในความเป็นไปไม่ได้ (Impossibility) พวกเขาเหล่านี้เชื่อว่าหากมนุษย์เราแต่ละคนใช้พลังขับเคลื่อนไปในทางที่ดี หรือสิ่งที่จะไปถึงเป้าหมายที่หวัง และปรับจูนความรู้สึกให้ศรัทธาได้ในสิ่งที่ดี ท้ายที่สุดพลังจักรวาล (Universal Intelligence) จะจัดสรรให้มนุษย์คิดดี รู้สึกดีคนนั้นไปอยู่ที่ขอบเขตที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกนึกคิดที่ดี
และอนาคตของคน ๆ นั้นก็จะเต็มไปด้วยเรื่องที่คนๆนั้นหวังไว้
ประสบการณ์ของมนุษย์เราแต่ละคนคือการรับรู้ ที่ยากจะเปลี่ยนเพราะเป็นความทรงจำที่ฝังรากลงในใยสมอง และประจวบกับการที่สารเคมีในร่างกายเป็นตัวทำให้เกิดความรู้สึก กลัว ดีใจ เศร้า ผิดหวัง ซึ่งแต่ละคนจะจำความรู้สึกนั้นได้ดี หากฝึกรู้สึกกับเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ พลังจักรวาลจะรับรู้จะจัดสรรมให้คนๆนั้นไปอยู่ในที่ที่เป็นห้วงของประสบการณ์นั้นซ้ำไปเรื่อยๆ (คนละเหตุการณ์แต่ก็เศร้าเหมือนเดิม)
แล้วเราไม่ลองปรับความคิดหน่อยหรือว่า หากเราเปลี่ยนพลังลบจากความทรงจำเหล่านั้นให้เป็นพลังบวก ชีวิตเราในวันข้างหน้าจะไปได้ดี และไกลขนาดไหน
หากต้องการให้อนาคตเป็นไปตามเป้าหมายที่หวังไว้ ควรเริ่มจากปัจจุบันที่เรารู้เท่าทัน ความรู้สึก การจมดิ่งกับเรื่องเดิมๆ และพาตัวเองขึ้นมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดยการถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้ต่างจากเดิม แน่นอนมันคือการเลือกที่จะคิดไม่เหมือนเดิม รู้สึกไม่เหมือนเดิม เช่น มองความผิดหวังเป็นพลัง มองความท้อแท้เป็นเรื่องที่จบไปแล้ว ไปวนอีก
ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องใช้พลังมหาศาล และนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า พลังระดับ Quantum หรือพลังแห่งจักรวาล มีในตัวเราทุกคน หากเกิดขึ้นคนๆนั้นจะสามารถสร้างสิ่งที่เป็นปฎิหาริย์ เช่น เก่งขึ้นมาก เป็นคนดีขึ้นมาก หรือ "กลับตัวกลับใจ"
ซึ่งภารกิจสำคัญในการเปลี่ยนความคิดชีวิตตัวเอง เพื่ออนาคตไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะคะ มันคือการเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก ซึ่งเหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขา ที่ต้องใช้ความพยายามและตั้งใจสูงมาก
ถ้าอยากมีอนาคตที่ดี ต้องสร้างปัจจุบันที่ดี
ถ้าอยากมีอนาคตที่ดี ต้องปล่อยวางอดีต
และมีหลายครั้งที่เราคิดอยากประสบความสำเร็จ (brain coherence) สมองปรับเรียบร้อยแล้วว่าอยากสำเร็จ
แต่ความรู้สึกยังไม่ได้ เราไม่มั่นใจ กลัวต่างๆนานา กลัวจะทุกข์
ซึ่งความทุกข์สร้างมาจากไหน
ก็มาจากประสบการณ์ในอดีตอีกนั่นแหละ ที่มาบงการเราในปัจจุบัน ทันทีที่เรารู้การคุกคามจากอดีต ตั้งรับและทิ้งมันไป ปัจจุบันจะตั้งตัวได้ และเราค่อยๆสร้าง อนาคตก็สดใส เหมือนดอกไม้แย้มบาน
สรุปคือ ความคิด + อารมณ์ + เป้าหมาย คือ พลังที่มหาศาล ที่ดึงดูดจัดวางให้สิ่งๆนั้นไปอยู่ในที่คนๆนั้นต้องการ
"Mind can change your life."
วันนี้ตั้งสติ อยู่กับปัจจุบัน สร้างชีวิตให้ดี อนาคตเกินกว่าที่ประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ แต่ที่แน่ๆ มันคือผลจากปัจจุบัน ซึ่งมีบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แม่นยำค่ะ
ครูฮ้วง
--------------------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ