เดี๋ยวนี้เปิดโซเชียลมีเดียแต่ละที ล้วนแต่พบภาพชีวิตภายนอกที่สวยงามของชีวิตคน อาหารที่น่ากิน วิวทิวทัศน์ที่น่าเที่ยวน่ามอง
และมันช่างแตกต่างกับการใช้ชีวิตจริงที่ไปเจอผู้คนตามท้องถนน หรือการพบปะ พูดคุยกับผู้คน แต่ละคนล้วนดิ้นรนเพื่อครอบครัวและชีวิต โดยมีภาพแห่งการต่อสู้ที่ลำบาก ที่ในโซเชียลเราอาจแทบไม่ได้เห็น
จะมีสักกี่คนที่เอา Worst version ของตัวเองออกมาพูด ออกมานำเสนอ เพราะมนุษย์เราก็มีความสามารถในการเก็บงำซ่อนเร้นอยู่แล้ว
พวกเราทุกวันนี้ได้เรียนรู้ชีวิตจากอะไรบ้างคะ
เราเรียนรู้จาก ละคร ภาพยนตร์ หนังสือ ธรรมะ หรือวาทกรรมต่างๆที่ชวนจดจำ และในที่สุดเราก็พบหลายๆครั้งว่าสื่งเหล่านี้เหมือนขนมหวานที่ฉาบดูน่าทาน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราพัฒนาหรือดีขึ้นอย่างจริงจังเท่าที่เราต้องการ
มองให้ดี ๆ จะพบว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นไปในเป้าหมายที่เราต้องการนั้น จริง ๆ มีแค่อย่างเดียวคือ
"การลงมือทำ ฝึกฝนด้วยตัวเราเอง โดยเฉพาะการฝึกชีวิตของเราเอง"
การฝึกชีวิตเหมือนเป็นการสู้ต้านกระแสความสบาย บางคนต้องจัดเวลาตื่นเช้าเพื่อออกกำลังกาย เพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง ลดหุ่น ให้สวยงามดังหวัง หากเป็นเด็กนักเรียนก็ต้องจัดเวลาอ่านหนังสือ จะไปเที่ยวเล่นตามใจตัวเองคงทำไม่ได้ และนั่นคือวินัยในตัวเอง แต่มันไม่ใช่แค่ self discipline สิคะ เพราะจริงๆแล้ว การฝึกตัวเองมันมีค่ามากกว่านั้น มันคือวินัยในชีวิต ที่จะติดตัวกับความคิดของเราไปจนตาย
มองภายนอกแล้ว คนมีวินัยเหมือนเป็นคนไม่มีอิสระ ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เช่น คนอยากดูแลสุขภาพก็ไม่ได้กินในสิ่งที่อยากกิน นักเรียนที่ขยันก็ไม่ได้เที่ยวในที่ ๆ อยากเที่ยว ไม่ได้ปล่อยตาปล่อยใจไปกับสิ่งที่ต้องการ
แต่ความต้องการที่ผิด ๆ มันจะนำพาเราไปสู่เส้นทางที่ไม่ได้อยู่ในความหวังและไม่ได้เป็นเป้าหมายของเรา และท้ายสุด คนที่ทำตามใจตัวเองมาตลอดหลายคนต้องมานั่งเสียดาย ที่ตนอยู่ห่างกับความฝันที่เคยอยากได้ และมิหนำซ้ำยังกลายเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ และที่สุดก็ควบคุมชีวิตตัวเองให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องไม่ได้เลย
เคยลองนึกมั้ยคะ ว่าเป็นเรื่องแปลกมาก ที่พวกเราถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ว่ามีสิ่งต่างๆมากมายที่เราไม่ควรไปแตะ แต่หลาย ๆ คนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่งกับสิ่งต้องห้าม
"Forbidden fruit is the sweetest."
สิ่งที่ไม่ควรทำ นั่นแหละค่ะ ตัวดีเลย มันมีพลังดึงดูดที่แรงมาก และมนุษย์ต้องใช้สติและพลังแรงบวกมากในการต้านมันให้เราได้ดี
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน อาชีพ เงิน หรืออนาคต สิ่งเหล่านี้จะดีได้มาจากตัวเราเองที่เรียนรู้ที่จะฝึกชีวิตของเรา
ความสุขบางอย่างที่ไม่ต้องใช้แรงต่อสู้มาก ทำให้มีความสุขในขณะนั้น และก็หมดไปในเวลาต่อมา และมิหนำซ้ำมันยังทำให้เราเสพติดอยากได้ความสุขแบบไม่ต้องเหนื่อยแบบนั้นอีกซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
แต่นิสัยที่ดี การฝึกความคิด ฝึกชีวิตให้เป็นคนมีวินัยกับตัวเอง เชื่อถือได้ นั่นแหละคือแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เราได้ชีวิตแบบที่เราอยากจะเป็น
จริงๆแล้วการเติบโตของมนุษย์เกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เราจะเติบโตได้อย่างไรหากวันนี้เราไม่ได้ฝึกชีวิตให้พัฒนาก้าวหน้า และหลายๆคนมักยึดติดว่า การที่เราจะลงมือเปลี่ยนชีวิตในทางที่ดีขึ้น ต้องอาศัย แรงผลักดัน ความหลงใหล หรือ Passion ซึ่งหากมองอีกด้านหนึ่งในความหมายของ Passion ก็แปลว่า ความทุกข์ทรมานเช่นกัน
ใช่แล้วค่ะ ความทุกข์ ความลำบากก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตไปในทางที่ดีได้
แต่สิ่งที่สำคัญและยิ่งใหญ่มีพลังกว่า แรงผลักดัน นั้นคือ การลงมือทำ
ลองคิดดูนะคะ เด็กคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีปัญหา ด่าทอรุนแรง ตีกันทุกวัน ครอบครัวยากจน จะเอาพลังจากไหนไปพัฒนาตัวเองให้ตั้งใจเรียน หรือคนที่สุขภาพไม่ดี จะเอาแรงผลักดันจากไหน ไปสร้างวินัยการออกกำลังกาย
แต่เราก็เห็นบุคคลยื่งใหญ่ในโลกของเราหลายๆคน ที่ปัญหาท่วมตัว เกิดมาไม่มีกิน พิการ ครอบครัวไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ก็ประสบความสำเร็จในชีวิตมากมายหลายคน
นั่นเป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นให้คุณค่า และความสำคัญของ "พลังการลงมือทำ"
การลงมือทำ คือการล้างพลังความคิดที่ลบ การลงมือทำให้เรามีลู่ทางและเตรียมการตั้งแต่เนิ่น การลงมือทำคือตัวเปลี่ยนชีวิตของคนเก่งๆมามากมายในโลก
แล้ววันนี้คุณได้ตั้งใจลงมือทำอะไรที่นำไปสู้เป้าหมายชีวิตที่คุณอยากให้เป็นมากน้อยแค่ไหนคะ
"Bad men obey their lusts as servants obey their master."
คนไม่ดี คือคนที่แค่ทำตามใจอยาก และศิโรราบให้กับตัณหาต่าง ๆ ที่เป็นเจ้านายครอบงำชีวิต
ครูฮัวง
--------------------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ