xs
xsm
sm
md
lg

"มนุษย์ 4.0"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์

ระยะนี้ดูมีดราม่าในสังคมเยอะมากๆ ไม่ว่าสายกราบ หรือสายไหน ..ดูแล้วตาลาย ตามไม่ทัน
ดราม่าทั้งหลายจะว่าไปแล้ว เกิดจากตัวเองทั้งสิ้น เรียกว่าคนทำนี่ทำตัวเองชัดๆ หลายๆ เหตุผลมาจากอาการขาดสติ...
เราเองแท้ๆ ที่ทำร้ายตัวเรา...คุณเคยไหม ทำอะไรโง่ๆ ...
เราดูเหมือนถูกผลักดันด้วยอะไรบางอย่าง ที่เราเองก็คาดไม่ถึง..
บางคนดีมาทั้งชีวิต สู้ชีวิตมา ที่สุด ต้องตกม้าตายด้วยการกระทำที่ขาดสติ เพียงไม่นาที
อะไรจะอธิบายเรื่องนี้ และทางออกจะเป็นอย่างไร..
ผมมองว่า Johari Window นี้น่าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้และชี้แนะหนทางได้
เพราะเห็นชัดมาก คนที่มีปัญหามากๆ มักเกิดจากตัวเองเป็น่สวนใหญ่ นั่นแสดงว่าคนเรามีปัญหาที่ตัวตน (Self)
ตัวตน (Self) =ปัญหา
ไม่รู้จักตัวตน (Self) = หายนะ
ตัวตนเป็นที่สิ่งที่เราไม่รู้ และไม่จัดการไม่ได้แล้ว มาดูกันครับว่าเป็นอย่างไร Johari Window ช่วยเรามองเห็นตัวตนเราดังนี้

Johari แบ่งตัวตนของเราเป็นสี่แบบคือ มาทำความรู้จักกันครับ
ส่วนที่เรารู้ และคนอื่นก็รู้ เรียกว่า Open Area ตรงนี้เองที่คนใช้ชีวิตอยู่ในโลกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เราควบคุมมันได้ หรืออย่างน้อยเรารู้ว่าเราจะบริหารความเสี่ยงอย่างไร เช่นคุณเป็นอาจารย์ สอนหนังสือ อยู่ MBA
ตัวตนต่อมาคือ ส่วนที่เรารู้ คนอื่นไม่รู้ หรือ Hidden Area เช่นจุดอ่อน จุดแข็งของเรา..เรารู้ดี แต่บางเรื่องคนอื่นก็ไม่ค่อยรู้ เช่น
Blind Area นี่เริ่มมีปัญหา คนอื่นมองเห็น แต่เรามองไม่เห็น ถ้าคุณเป็นคนอ่อนน้องถ่อมตน รับฟังคนอื่น คุณอาจลดปัญหาจากตัวเองได้
แต่ที่ผมว่าน่ากลัวมากๆก็คือจุดที่คุณไม่รู้ Unknown Area และคนอื่นไม่รู้ ตัวนี้ก็น่ากลัว ไม่ค้นพบเร็วๆ อาจสร้างความเสียหายให้คุณได้
ผมว่ากรณีที่เป็น Drama ของสังคมช่วงหลังๆ น่าจะมาจาก Blind Area และ Unknown Area ซะมาก ...เรียกว่าเกิดขึ้นมานี่เจ้าตัวยังงงเลยว่าเกิดได้อย่างไร
และทางออกคืออะไร..
Johari เป็นวิธีการในการสร้างสัมพันธ์กับตัวเองและคนอื่น..
สูตรง่ายๆ คือขยายพื้นที่ Open Area หรือ The Area คือเราต้องรู้จักตนเอง และเปิเผยต่อคนอื่นให้มากขึ้น...นั่นหมายถึงเรามุ่งเป้าที่จะลดพื้นที่ของ Hidden Area, Blind Area และ Unknown Area เอง..
แล้วทำอย่างไร ถ้าจะขยายพื้นที่ไป Blind Area ก็หาคนมามองตัวคุณ ให้เขาวิพากษ์ว่าเขามองเห็นอะไร ถ้าจะขยายไปพื้นที่ Hidden Area คุณต้องเปดเผยตัวเองให้คนอื่นรู้ว่าคุณเป็นใคร ทำอะไร ...สุดท้าย Unknown Area ต้องอาศัยการค้นเพ่งพินิจ ค่อยใครครวญมองหาตนเอง..
คราวนี้เนื่องจากผมมาจากสาย OD หรือพัฒนาองค์กร ผมก็รู้สึกว่ามันมีเครื่องมือดีๆ ที่จะช่วยขยายพื้นที่ Open Area ได้ นั่นคือทฤษฎีสมองสี่ด้าน (Whole Brain Literacy) ของอาจารย์ผมคือดร. Perla ที่ท่านต่อยอดมากจากงานของ Dudley Lynch แห่ง Brain Technologies อีกที ...
มาว่ากันที่สมองสี่ด้านกันครับ ทฤษฎีนี้ว่ากันว่าสมองคนเรามีสี่ด้าน ดังแผนภาพนี้

สรุปคือ
1.ทุกคนมีสมองสี่ส่วน I-Control สมองส่วนควบคุม มันจะทำหน้าที่จัดระบบระเบียบชีวิตคุณ I-Explore ส่วนคิดสร้างสรรค์ เน้นการคิดนอกรอบ I-Pursue เน้นปฏิบัติ ลุย ส่วนสุดท้าย I-Preserve สมองส่วนที่เราใช้สร้างความสัมพันธ์
2. เรามีแนวโน้นจะใช้สมองส่วนใดส่วนหนึ่งมากไป
3. ถ้าเราหัดใช้สมองทั้งสี่ส่วนให้สมดุล การคิดการทำของเราจะทรงพลังมากๆ
4. ลองเอามาจับกับ Johrari Window ผมมองว่าถ้าจะขยายพื้น Open Area เพื่อลดพื้นที่ต่างๆ ผมจะเชื่อมโยงการใช้สมองให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ ได้ดังนี้

5. ผมมองว่า ถ้าเราอยากขยายพื้นที่ Open Area คือเราก็รู้ คนอื่นก็รู้นี่ ...คุณต้องพยายามทำงานปฏิบัติมาก พยายามเปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำให้ได้นั่นคือคุณใช้สมองส่วน I-Pursue ยิ่งทำมาก คุณจะรู้จุดอ่อน จุดแข็งของคุณมากขึ้น คนอื่นก็จะรู้ ไม่ทำ ไม่แสดงความสามารถอะไร คนอยากส่งเสริมก็ไม่รู้จะส่งเสริมอะไร เช่นถ้าคุณอยากว่ายน้ำ มามัวเรียนในชั้นเรียน ก็ไม่มีวันเข้าใจ คุณต้องกระโดดลงน้ำ คุณจะเห็นตัวเองว่าตัวเองยังบกพร้องตรงไหร ครูก็จะรู้คุณไปได้แค่ไหน ถ้าประยุกต์ใช้ในงานสอนของผม ผมจะบอกให้ลูกศิษย์ไปทดลองจริง ถ้าไม่มีร้านลองเปิดร้านขายของ Online ก็ได้ ทดลองเลย เดี๋ยวรู้...ลูกศิษย์กลุ่ม AI ผมคนหนึ่งมาถามว่าอยากเปิดกิจการน้ำดื่มควรเร่ิมอย่างไร...ผมบอกพี่เปิดเลยเดี๋ยวรู้เอง.. แกก็เอาจริงไปเปิดลองดู น้ำดื่มตราพยาบาล ตอนนี้เติบโตจนกระทั่งบริจาครถพยาบาลให้โรงพยาบาลได้แล้ว

6. ถ้าต้องการขยายไปยังจุดที่เรียกว่าพื้นที่ Hidden Area หรือ Facade คือพื้นที่ที่คุณรู้จุดอ่อน จุดแข็งตนเอง แต่คนอื่นบางทีไม่รู้ ...เรื่องนี้บางทีเสียโอกาส.. เท่าที่ผมมองคนในสังคมบ้านเรามองเห็นตัวเองรางๆ รู้อยู่ครับว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรแต่บางทีไม่บอกใคร หรือไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร ง่ายๆครับ ถ้าไม่จัดการส่วนนี้ มันจะทำให้คุณรู้สึกควบคุมชีวิตไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคนอื่นก็ไม่รู้จะส่งเสริม หรือช่วยคุณได้อย่างไรไงล่ะ คุณก็ไม่รู้จะไปหาใคร..ไปไม่ถึงไหนแน่ ...แล้วทำอย่างไร ลองใช้สมองส่วน I-Control หรือลองมาจัดระบบชีวิตดู...ด้วยเครื่องมืออะไร ...ผมมีวิธีครับ ..ใช้ IKIGAI ช่วย IKIGAI แปลว่ามีความสุขทุกวัน..หรือเหตุผลที่คุณจะตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน ดู Diagram นี้นะครับ

...เอาเป็นว่า..ถ้าชีวิตคุณดูมันก็ดำเนินไปด้วยดี แต่มันรู้สึกแปลกๆ...มันไม่สุขเท่าที่ควร..เพราะอะไร อาจมาจากพื้นที่ส่วนนี้ก็ได้ครับ... คุณอาจไม่เจอสิ่งที่คนญี่ปุ่นเรียมันว่า IKIGAI ...IKIGAI คือการเอาสิ่งที่คุณหลงใหลไปแก้ปัญหาให้คนอื่นแล้วเอามาประกอบอาชีพได้ด้วย...ความหลงใหลคือ Passion บางที่คนหาไม่เจอนะ..ถ้าหาเจอคุณจะควบคุมชีวิตได้มากกว่าเดิม ...ลองหาง่าย ดู Diagram ข้างล่างนี้ คือคุณค่อยๆ นั่งคือว่าอะไรที่คุณรัก ..เช่นลูกศิษย์ผมรักวิชาจิตวิทยา แต่เก่งเรื่องการสอน ...เอามาเชื่อมโยงกันครับ . เขาหลงใหลการค้นคว้าและการสอนจิตวิทยา.. นี่ครับได้ Passion แล้ว.... ต่อมา เขามานั่งมองว่าโลกขาดอะไร...เขาเจอครับรู้สึกว่าตอนนี้คนในสังคมเครียดมาก เลยตั้ง Mission ว่า จะทำให้คนไทยมีความรู้เรื่องจิตวิทยามากๆ จะได้ไม่ต้อวทุกข์มากๆ นี่คือควมเชื่อมโยง..พอเชื่อมโยงมาอีก แล้วจะเอาอะไรกิน...เธอเลยมองว่าเป็นอาจารย์เหมาะกว่า..ก็เลยไปต่อปริญญาเอกด้านจิตวิทยา... จากนั้นก็เชื่อมโยงอีกครับ ...เอา Passion มาพัฒนาเป็นงานสอน เขียนหนังสือ ทำวิจัยเพื่อทำให้ Mission ของตนเองเป็นจริง คือทำให้คนไทยมีความรู้เรื่องจิตวิทยามากๆ ... เท่านี้เธอก็รู้สึกว่าชีวิตควบคุมได้มากกว่าเดิม ได้ทำอะไรที่ท้าทาย ได้รู้จักตนเองและคนอื่นมากขึ้น แถมหาเงิน เลี้ยงตัวเองได้ด้วย การใช้สมอง I-Control ค้นหา IKIGAI จะเปิดพื้นที่ให้คุณเข้ามาควบคุมชีวิตคุณอย่างมีทิศทางมากขึ้น เปิดโอกาสให้พันธมิต กัลยาณมิตรเข้ามาร่วมทางเดินกับคุณได้อย่างมีความหมายและเติบโตไปด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ช่วยบริหารความเสี่ยงจากบาปมิตรได้ด้วย ชัดไหมครับ
7. มาต่อที่การเปิดพื้นที่ Blind Area ตัวนี้ใช้สมองส่วนที่สร้างสัมพันธ์ (I-Preserve) .... เราต้องอาศัยการ Feedback จากคนอื่นครับ เครื่องมือที่ดีที่สุดคือความอ่อนน้อมถ่อมตัว เมื่อวานได้นั่งคุยกับเพื่อนอาจารย์ที่ไม่ได้สอน Field ผมเลย...แต่ก็ได้วิธีการสอนใหม่ๆ มาจากการที่เขา Feednback เรา... วิธีหนึ่งอาจลองเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ เช่นผมเคยไปบวชที่วัดหลวงพ่อกล้วยสามเดือนครับ..เราก็เปิดโอกาสให้พระอาจารย์ หรือพระที่บวชด้วยกัน Feedback เต็มที่ ไม่สนแล้วเป็นดร.. ไม่ได้ฉลาดทุกเรื่อง ..เจออะไรดีๆ เพียบ ที่เราไม่คิดว่าจะมีในตัวเรา เช่นการขาดสตินี่ชัดมากๆ เลยได้ฝึกตัวขึ้นมา... สุดท้ายอีกวิธีเราเรียกว่าการหา Self-portrait คือไปถามคนรอบตัวสัก 20 คนครับว่าเขาชอบเราตรงไหน...การันตีครับ แม้กระทั่งคนที่คุณรัก ก็จะพูดต่างจากที่คุณคิด.. เช่นไปลูกศิษย์ผมไปถามภรรยาว่าชอบอะไรในตัวเขา ลูกศิษย์ผมกลับมาเล่าว่า “เธอชอบผมตรงที่ไปไหนไกลๆ ผมจะโทรหาเธอตลอด และเธอชอบตรงที่ผมไม่หยุดพัฒนาตนเองครับอาจารย์” เท่านี้เองงงเลย ลูกศิษย์ผมคิดว่าภรรยาต้องชอบเขาเพราะเขาทำธุรกิจเก่งมากๆ ระดับ Top...ไม่ใช่ถ้วยรางวัลครับ ไม่ใช่ ...ความห่วงใยครอบครัว และการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า การไม่หยุดอยู่กับที่ต่างหาก.. แต่ก่อนเธอชอบกลับบ้านไปโม้ให้ภรรยาฟังว่าได้ Deal ธุรกิจอย่างโน้นอย่างนั้นมาแล้ว ได้ Connection มาแล้ว...ไม่ใช่เลย...เท่านี้นำไปสู่การปรับตัวสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวมากขึ้น
8. สุดท้ายเรื่องการเปิดพื้นที่ Unknown... ไม่มีใครสอนคุณ คุณต้องจัดการตนเอง ตรงนี้คุณต้องใช้สมองนักสำรวจคือ I-Explore ส่วนเครื่องมือ...แนะนำให้ใช้ Appreciative Inquiry คือตั้งคำถามดีๆ เพื่อค้นหาสิ่งดีๆ จากตัวเอง และจากสิ่งรอบตัว...ทำได้สองวิธีครับ..วิธีแรกเวลาเจอปัญหาอะไร ให้ถามว่าแล้วตอนที่ดีที่สุดทำอย่างไร เช่นครั้งหนึ่งลูกศิษย์ผมไปสอนแล้วคนไม่ชอบ เลยให้ลองถามตัวเองว่าตอนที่สอนแล้วคนบอกต่อทำอย่างไร อะไรมันต่างจากตอนที่สอนแล้วคนไม่ชอบ...เธอหลุดมาคำหนึ่ง “การเตรียมตัวครับอาจารย์ ถ้าผมได้เขียน Mind Map ก่อนไปสอนสัก 10 นาทีมันจะเชื่อมโยงจะดีกว่าการกระโดดขึ้นเวทีเลย” เหมือนผมครับ ก่อนสอนตอนที่สอนได้ดี ต้องไปดูวิดีโอ หรือไปอ่านหนังสือสักเล่มมาก่อน ...ถ้าทำอย่างนี้แล้วการสอนจะดีมากๆ . และล่าสุดที่พลาดเพราะไม่ทำอย่างนี้...ชัดไหมครับ... ส่วนอีกแนวให้หาแรงบันดาลใจจากคนต้นแบบ ..ผมเองชอบตามงานดร.วรภัทร์ ศึกษา ดูงานท่านไม่ก็รู้ว่าเราไม่รู้อะไรมากขึ้น มันค่อยเผยออกมา และเกิดแรงบันดาลใจในอาชีพหลายอย่าง ผมไปพบว่าท่านอาจารย์สอน เปิดเผยเทคนิกตัวเองให้คนอื่นแบบไม่หวงวิชา ไม่เหมือน Consult ทั่วไป ที่จะดูหวงๆ แต่อาจารย์ก็ดูมีงานเข้าเรื่อยๆ และคนก็รักด้วย รวมทั้งก็เป็น Pioneer ด้านการเป็นที่ปรึกษา และจากการไปเรียนในหลักสูตรระดับโลกมา พบเลยครับ งานของอาจารย์ไม่ด้อยกว่าฝรั่ง อาจดีกว่าส่วนใหญ่ที่ผมสัมผัสมาด้วย..ไปไกลมาก..ผมมองเลยว่า ผมเดินตามท่านแน่นอน ..และก็ทำให้เจออะไรดีๆ ในชีวิตมากขึ้น ผมตามท่านไปบวชวัดหลวงพ่อกล้วยด้วย ชีวิตเปลี่ยนเลย
ผมว่าคนเราจำเป็นต้องสำรวจตัวเอง เพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่มาจากตัวคุณเอง นั่นคือความไม่รู้ ...ที่อาจจะยกระดับชีวิตคุณในระยะยาว หรืออาจทำลายคุณเองในไม่กี่วินาทีได้ ...
Johari และ ทฤษฎี Whole Brain ข่วยในการมองเข้าไปในตัวตนของเราได้ดีมากๆ ..
สรุปวิธีการยกระดับชีวิตคุณเองผ่าน Johari และ Whole Brain Literacy นะครั
ตัวคุณเท่านั้นที่จะช่วยตัวคุณเองได้
และถ้าทำได้ ไม่เพียงแต่คุณจะเติบโตอย่างมั่นคงเท่านั้น ครอบครัว คนรอบตัว คนในสังคม ก็จะเติบโตพร้อมกับคุณไปด้วย
และถ้าคุณหมั่นมองตัวเอง หมั่นขัดเกลาตัวเองบ่อยๆ คุณจะกราบตัวเองได้ลง และคนรอบตัว ถ้าจะกราบคุณก็จะกราบคุณอย่างสนิทใจ และได้แรงบันดาลใจไปด้วย..
หัวใจสำคัญคือการลดตัวตน ลดกำแพงลง..เพื่อหาคำตอบจากคนรอบข้าง ที่อาจไม่ได้สูงส่งก้าวหน้าในแบบของคุณนัก แต่เขาให้คำตอบที่น่าทึ่งเสมอ...ภาพนี้น่าจะแทนทุกอย่าง... (ขออนุญาตเจ้าของเลยนะครับ ยังหาที่มาไม่เจอ ถ้าเจอจะอ้างอิงให้ทีหลังนะครับ)

Credit: อจ.กล้วย ธนิช สุนทรธนกุล (คนสอนวิชา จีบ ที่จุฬา)

สรุป
ตัวตน (Self) =ปัญหา
ไม่รู้จักตัวตน = หายนะ
รู้จักตัวตน = หนทางสู่ความสำเร็จ
ลดตัวตน = หนทางสู่ความสุข
ชัดไหมครับ
"เป็นมนุษย์ยุค 4.0 แล้ว ใช้ชีวิตอย่างเดิมไม่ได้แล้ว สะดุดขาตัวเองแน่ ต้องรู้จักตัวเองและควบคุมชะตากรรมตัวเองให้ได้ ปล่อยตามบุญตามกรรมไม่ได้ จริงไหมครับ"
คุณล่ะ คิดอย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น