บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2560 กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 19.3 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 1,469 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง เรด ล็อบสเตอร์ มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของผลกำไรบริษัท รวมทั้งเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย ในส่วนของยอดขายรวม บริษัทมียอดขายเท่ากับ 31,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยมีกำไรขั้นต้นลดลง 13.3 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน เท่ากับ 4,330 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 13.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2559 ที่ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจปลาทูน่าและกุ้ง รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นอีกด้วย
ส่วนยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของบริษัท เพิ่มขึ้น 12,914 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าความต้องการในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ambient) ในทวีปยุโรปจะซบเซาก็ตาม สำหรับยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยังคงเติบโตที่ 17.4 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 4,444 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างๆ และการรุกทำตลาดที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ยอดขายจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ที่ 42 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสแรก ที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร สำหรับยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนที่มากที่สุดเท่ากับ 40.3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมดในไตรมาสแรก ปี 2560 ตามด้วยตลาดยุโรปเป็นอันดับรองลงมา ด้วยสัดส่วนยอดขายเท่ากับ 31 เปอร์เซ็นต์ ตลาดในประเทศไทย มีสัดส่วนเท่ากับ 8.1 เปอร์เซ็นต์ ตลาดญี่ปุ่นมีสัดส่วนเท่ากับ 6.4 เปอร์เซ็นต์ และตลาดอื่นๆ มีสัดส่วนเท่ากับ 14.2 เปอร์เซ็นต์
"เรามีความพอใจในผลกำไรที่เติบโตนี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าเราจะคงต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ และสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในหลายตลาดอยู่" นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
"ในส่วนการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ นั้น ได้ส่งผลเชิงบวกให้แก่บริษัท และเรากำลังร่วมมือกันในการริเริ่มการดำเนินงานต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของเรามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต" นายธีรพงศ์กล่าวเพิ่มเติม
ในเดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์แบรนด์
ปลาทูน่าของบริษัท ต้องมาจากการจัดหาอย่างยั่งยืน ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายทำให้ได้อย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2563 และส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ใหม่ด้านปลาทูน่านี้ ไทยยูเนี่ยนกำลังลงทุนมูลค่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการริเริ่มต่างๆ เกี่ยวกับความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาการประมง 11 โครงการทั่วโลก
และเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ที่เรียกว่า "SeaChange®" ไทยยูเนี่ยน
สนับสนุนเงินจำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาการประมง ในประเทศอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รายงานเพื่อความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ปี 2558 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ในรายงาน 100 บริษัทธุรกิจอาหารทะเลที่ได้มาตรฐานความโปร่งใส (Top 100 Seafood Firms’ Transparency Benchmark) ซึ่งจัดอันดับโดย Seafood Intelligence หน่วยงานที่ให้บริการข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารทะเล และประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนและระดับความโปร่งใสของอุตสาหกรรม ไทยยูเนี่ยนได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 5 อันดับแรก ของบริษัทที่ทำประมงด้วยการจับปลาแบบธรรมชาติทั้งหมดทั่วโลก และอยู่ใน 3 อันดับแรก ของบริษัทที่จับปลาทูน่าแบบธรรมชาติทั่วโลกอีกด้วย
นอกจากนั้น ไทยยูเนี่ยนได้เป็นพันธมิตรกับ Clinton Climate Initiative ซึ่งดำเนินโครงการก๊าซชีวภาพและการจัดการน้ำเสีย ที่โรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องของบริษัท อินเดียนโอเชี่ยนทูน่า (Indian Ocean Tuna) ในประเทศเซเชลส์ (Seychelles) โดยโครงการดังกล่าว จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนด้านพลังงาน ในขณะเดียวกัน จะผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดและการจัดการคุณภาพน้ำทิ้งที่ดีขึ้น
"เรายังคงมุ่งมั่นอย่างจริงจังในทำงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในทุกๆ วัน ไทยยูเนี่ยนได้ทุ่มเทในการทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่าค่านิยมขององค์กรที่พวกเรายึดถือนั้น ได้รับการถ่ายทอดเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลได้อย่างแท้จริง" นายธีรพงศ์กล่าว
โดยมีกำไรขั้นต้นลดลง 13.3 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน เท่ากับ 4,330 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 13.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2559 ที่ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจปลาทูน่าและกุ้ง รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นอีกด้วย
ส่วนยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของบริษัท เพิ่มขึ้น 12,914 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าความต้องการในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ambient) ในทวีปยุโรปจะซบเซาก็ตาม สำหรับยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยังคงเติบโตที่ 17.4 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 4,444 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างๆ และการรุกทำตลาดที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ยอดขายจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ที่ 42 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสแรก ที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร สำหรับยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนที่มากที่สุดเท่ากับ 40.3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมดในไตรมาสแรก ปี 2560 ตามด้วยตลาดยุโรปเป็นอันดับรองลงมา ด้วยสัดส่วนยอดขายเท่ากับ 31 เปอร์เซ็นต์ ตลาดในประเทศไทย มีสัดส่วนเท่ากับ 8.1 เปอร์เซ็นต์ ตลาดญี่ปุ่นมีสัดส่วนเท่ากับ 6.4 เปอร์เซ็นต์ และตลาดอื่นๆ มีสัดส่วนเท่ากับ 14.2 เปอร์เซ็นต์
"เรามีความพอใจในผลกำไรที่เติบโตนี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าเราจะคงต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ และสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในหลายตลาดอยู่" นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
"ในส่วนการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ นั้น ได้ส่งผลเชิงบวกให้แก่บริษัท และเรากำลังร่วมมือกันในการริเริ่มการดำเนินงานต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของเรามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต" นายธีรพงศ์กล่าวเพิ่มเติม
ในเดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์แบรนด์
ปลาทูน่าของบริษัท ต้องมาจากการจัดหาอย่างยั่งยืน ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายทำให้ได้อย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2563 และส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ใหม่ด้านปลาทูน่านี้ ไทยยูเนี่ยนกำลังลงทุนมูลค่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการริเริ่มต่างๆ เกี่ยวกับความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาการประมง 11 โครงการทั่วโลก
และเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ที่เรียกว่า "SeaChange®" ไทยยูเนี่ยน
สนับสนุนเงินจำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาการประมง ในประเทศอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รายงานเพื่อความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ปี 2558 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ในรายงาน 100 บริษัทธุรกิจอาหารทะเลที่ได้มาตรฐานความโปร่งใส (Top 100 Seafood Firms’ Transparency Benchmark) ซึ่งจัดอันดับโดย Seafood Intelligence หน่วยงานที่ให้บริการข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารทะเล และประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนและระดับความโปร่งใสของอุตสาหกรรม ไทยยูเนี่ยนได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 5 อันดับแรก ของบริษัทที่ทำประมงด้วยการจับปลาแบบธรรมชาติทั้งหมดทั่วโลก และอยู่ใน 3 อันดับแรก ของบริษัทที่จับปลาทูน่าแบบธรรมชาติทั่วโลกอีกด้วย
นอกจากนั้น ไทยยูเนี่ยนได้เป็นพันธมิตรกับ Clinton Climate Initiative ซึ่งดำเนินโครงการก๊าซชีวภาพและการจัดการน้ำเสีย ที่โรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องของบริษัท อินเดียนโอเชี่ยนทูน่า (Indian Ocean Tuna) ในประเทศเซเชลส์ (Seychelles) โดยโครงการดังกล่าว จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนด้านพลังงาน ในขณะเดียวกัน จะผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดและการจัดการคุณภาพน้ำทิ้งที่ดีขึ้น
"เรายังคงมุ่งมั่นอย่างจริงจังในทำงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในทุกๆ วัน ไทยยูเนี่ยนได้ทุ่มเทในการทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่าค่านิยมขององค์กรที่พวกเรายึดถือนั้น ได้รับการถ่ายทอดเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลได้อย่างแท้จริง" นายธีรพงศ์กล่าว