บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้ก่อตั้งโครงการสานรักคนเก่งหัวใจแกร่ง จัด “แคมป์เยาวชนสานรัก คนเก่งหัวใจแกร่ง” ครั้งที่ 8 เสริมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้แกร่ง เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึงทัศนศึกษาเปิดโลกกว้าง พร้อมแนะเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ และการใช้ชีวิตในโลกโซเชียล มีเดีย โดยมี “ก้อง ห้วยไร่” และ“หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์” กูรูด้านเทคโนโลยีและผู้ผลิตรายการแบไต๋ไฮเทค เป็นวิทยากร รับเชิญให้กับเยาวชนสานรักฯ ที่ร่วมแคมป์ในครั้งนี้ เพื่อสร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง เดินตามความฝัน และใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
อมรรัตน์ ชาญปรีชญา ผู้อำนวยการส่วนงานประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอส ได้จัด “แคมป์เยาวชนสานรัก คนเก่งหัวใจแกร่ง” ขึ้น ต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่ 8 เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนสานรักฯ ได้เปิดโลกทัศน์ เสริมประสบการณ์ใหม่ๆ นอกห้องเรียน โดยมีเยาวชนสานรักฯ ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 2 ถึงระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 55 คน จากทั่วประเทศเข้าร่วมแคมป์ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมของโครงการ “สานรัก คนเก่งหัวใจแกร่ง” ซึ่งเป็นโครงการที่มอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนที่ขาดโอกาส แต่มีความประพฤติดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนโดยมอบทุนการศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และสามารถทำงานดูแลครอบครัวได้ในอนาคต โดยปัจจุบันมีเยาวชนในโครงการฯ จำนวนกว่า 740 คน และ สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้ว 150 คน ซึ่งเยาวชนที่ได้รับทุนการศึกษาเหล่านี้ต่างเติบโตเป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัวและตนเองให้มีอนาคตที่ดีขึ้น
เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกย่างก้าวที่เดินไปจึงต้องมีพลังกายและกำลังใจ เอไอเอสจึงได้ส่งกำลังใจให้เยาวชนสานรักฯ ผ่านประสบการณ์ตรงในการฝ่าฟันความลำบาก ที่ต้องอาศัยความอดทน เพื่อไขว่คว้าความฝันของ ก้อง ห้วยไร่ นักร้องลูกทุ่งชื่อดังเจ้าของเพลงฮิต “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” ที่มาร่วมแบ่งปันแรงบันดาลใจ โดยมีใจความสำคัญว่า “ผมเป็นเด็กอีสานมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นลูกชายคนเล็กและเป็นคนไม่มีเพื่อน ด้วยที่บ้านยากจนต้องช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินตั้งแต่เด็กๆ ครูเคยสอนผมว่า ให้เราทำตัวเหมือนหนูนาที่มีทางออกหลายทางไม่ใช่ทำตัวเหมือนหนูพุกที่ตัวใหญ่ มีทางออกเพียงทางเดียวให้กับชีวิต ในชีวิตผมๆ ทำงานอะไรมามากมายหลายอย่าง แต่ผมไม่เคยอาย ผมกลับคิดว่า สิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่เท่ น่าภูมิใจ เพราะเราทำงานสุจริต การทำงานจะทำให้เราแกร่ง พึ่งตนเองและดูแลครอบครัวได้ และสิ่งสำคัญที่สุดเราต้องมีความอดทน คนเก่ง คนฉลาดจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลยถ้าขาดสิ่งนี้ เงินใช้ทุกวันก็หมดไป แต่การให้อาชีพจะทำให้เงินที่ได้มาไม่มีวันหมด เป็นการให้ที่ยั่งยืน ผมขอให้น้องๆ ทุกคนที่ต้องพบเจอกับความยากลำบาก จงอดทนๆ เพื่ออนาคตที่สดใสและหมั่นสร้างกำลังใจให้กับตนเอง เพราะไม่มีใครที่จะสร้างกำลังใจให้เราได้ดีเท่าตัวเราเอง”
หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กูรูด้านเทคโนโลยีและผู้ผลิตรายการแบไต๋ไฮเทค ที่มาแนะแนวทางการใช้ชีวิตในโลกโซเชียล มีเดีย กล่าวว่า “อินเทอร์เน็ตมีพลังวิเศษที่ทำให้คนไกลกลายเป็นคนใกล้ หลายๆ ครั้งที่คนไกล ทำให้เกิดปัญหา มีการหลอกลวงกัน เราสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ของคนอื่น เพื่อนำมาป้องกันตัวเอง สำหรับเด็กๆ สมัยนี้ที่มีการใช้โซเชียล มีเดียกันมาก ผมอยากให้เด็กๆ มีสติ รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองก่อนที่จะโพสต์อะไรลงไปในสื่อเหล่านี้ เพราะเมื่อเราโพสต์ลงไปแล้วจะไม่สามารถลบ ให้หายไปได้ ถ้าหากอยากระบายแนะนำให้เขียนใส่กระดาษหรือสมุดแทน และเวลาได้รับสารต่างๆ มาและไม่อยากถูกหลอก เราต้องรู้จักตรวจสอบ นำสารหรือข้อมูลเหล่านั้นไปหาต่อในเครื่องมือค้นหาต่างๆ อีกครั้งว่า ในเว็บอื่นๆ นั้นมีลงเหมือนกันรึเปล่า หรือหาแหล่งที่มาของข้อมูลว่า เชื่อถือได้หรือไม่ ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองในยุคนี้ต้องปรับตัวให้รู้จักโลกโซเชียล ให้เท่าทันสิ่งที่ลูกชอบที่ลูกเล่น เราต้องทำให้ตัวเราเอง เป็นผู้ปกครองที่ทันโลก เป็นครูที่มีทักษะตามโลก และหมั่นคอยตรวจสอบการใช้งานของลูก เพื่อเป็นการดูแลและปกป้องลูกอีกทางหนึ่งด้วย”
ความคิดเห็นส่วนหนึ่งของเยาวชนสานรักฯ ที่เข้าร่วมแคมป์ในครั้งนี้ ด.ช.จิรยุทธ พุดสี อายุ 13 ปี นักเรียนม.1 จากโรงเรียนจตุรพักตรพิมานรัชดาภิเษก จังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า “รู้สึกดีใจมากครับ ชอบที่ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ และยังได้เรียนรู้เรื่องของการใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง ทำให้รู้ทั้งประโยชน์และโทษ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางโซเชียล มีเดีย ปกติแล้วหากผมไม่แน่ใจว่า เพจนี้เป็นเพจที่หลอกลวงหรือไม่ ผมจะดูจากยอดคนที่ติดตาม หากมีจำนวนยอดคนติดตามเยอะแสดงว่าน่าเชื่อถือ ถ้าน้อยก็จะต้องระวังไว้ก่อน”
วันเพ็ญ จันทร์อุด อายุ 17 ปี นักเรียนม.5 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า “แคมป์นี้ทำให้หนูได้รู้อะไรใหม่ๆ ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับโซเชียล มีเดียที่พี่ๆ จะสอนการใช้โซเชียลมีเดียที่ถูกวิธี รวมถึงผลเสียหากเราใช้ผิดวิธี เช่น ไม่ใช้ในทางเสื่อมเสีย ไม่ควรโพสต์ระบายอารมณ์หรือต่อว่าใคร และยังสอนถึงกลลวงที่มักจะแฝงมากับโซเชียล มีเดียต่างๆ เหล่านี้ โดยส่วนตัวแล้วหนูไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลมีเดียเท่าไร เพราะหนูเป็นนักกีฬาประจำของโรงเรียน ทางอาจารย์ขอร้องไม่อยากให้เล่น เนื่องจากจะทำให้เสียสมาธิระหว่างการซ้อม และการแข่งขันค่ะ”
ด.ญ.ดอย ศรีชาวป่า อายุ 16 ปี นักเรียนม.3 โรงเรียนบ่อเกลือ จังหวัดน่าน กล่าวว่า “รู้สึกสนุกและดีใจที่ได้มาร่วมแคมป์ค่ะ หนูได้เพื่อนใหม่เยอะมากเลยค่ะ แคมป์นี้ทำให้หนูได้รู้จักการปรับตัว เพื่อเข้าสังคม เพราะเพื่อนแต่ละคนก็มีที่มาที่แตกต่างกัน หนูชอบที่ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้ไป นอกจากจะได้รับความสนุกแล้ว หนูยังได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิต การปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบของสถานที่ต่างๆ ถ้าครั้งต่อไปหนูมีโอกาสไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ หนูก็จะรู้วิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ทำให้หนูมั่นใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ถูกอีกแล้วค่ะ”
นอกจากนี้ เอไอเอส ยังได้เปิดโลกทัศน์ให้เยาวชนสานรักฯ ให้เรียนรู้ด้วยตัวเองตามสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ “ไดโนซอร์ แพลนเน็ต” กรุงเทพฯ (Dinosaur Planet) ย้อนยุคสู่โลกดึกดำบรรพ์ ตะลุยโลกไดโนเสาร์ล้านปี “ซี ไลฟ์ โอเชียน เวิลด์” กรุงเทพฯ (Sea Life Ocean World) ดำดิ่งสู่โลกใต้ทะเล เรียนรู้สัตว์ทะเล นานาพันธุ์อย่างใกล้ชิด และ “สวนน้ำการ์ตูนเน็ทเวิร์ค อเมโซน” พัทยา (Cartoon Network Amazone) ท่องโลกจินตนากับสวนน้ำที่จำลองบรรยากาศป่าดิบชื้นอเมซอนกับตัวการ์ตูนสุดฮิตอีกด้วย
อมรรัตน์กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปิดประสบการณ์ของเด็กๆ ผ่านการทัศนศึกษาในโลกแห่งความเป็นจริงและเสริมสร้างการเรียนรู้ให้เท่าทันการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล เพื่อเป็นเกราะป้องกันทางความคิดจะช่วยให้เด็กๆ ได้ใช้ชีวิตในสังคมอย่างดี มีความสุขและมีแรงใจในการเดินตามและไขว่คว้าความฝันกันต่อไป