เอสซีจี เผยธุรกิจเคมีภัณฑ์ การลงทุนอาเซียนคืบหน้ จับมือพันธมิตรในเวียดนา มเดินหน้าโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรก เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของอาเซียน โรงงานปูนซีเมนต์ในสปป.ลาว และเมียนมาร์ เดินเครื่องผลิตพร้อมรองรับตลาดก่อสร้าง
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจีในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2560 มีรายได้จากการขาย 116,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อน มีกำไร 17,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ประกอบกับกำไรจากการขายเงินลงทุนและสินทรัพย์ส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก 31,044 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม
เอสซีจีมีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียน 25,918 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม ใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มูลค่า 137,144 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 24 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีมูลค่า 562,170 ล้านบาท
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 54,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 13,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากไตรมาสก่อน จากการกลับมาดำเนินการภายหลังการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์ (ROC) นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากการขายเงินลงทุนสุทธิภาษี 1,431 ล้านบาท
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 44,824 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 2,468 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากปีก่อน จากผลกระทบของสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 136 จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ ตลาดซิเมนต์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ผลจากการลงทุนในภาคการก่อสร้างยังต่ำกว่าปีที่แล้ว และการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 มีรายได้จากการขาย 19,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 171 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการขายสินทรัพย์ส่วนที่ไม่ได้ใช้แล้ว
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “การที่เอสซีจีได้กำหนดวิสัยทัศน์ เข้าไปดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ทำให้มองเห็นศักยภาพ และโอกาสการเติบโตที่ดี โดยขณะนี้โครงการลงทุนในอาเซียนมีความชัดเจนและคืบหน้าไปมาก ล่าสุดเอสซีจีได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็นร้อยละ 71 ในโครงการ Long Son Petrochemicals ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนามตั้งอยู่ในจังหวัดบาเรียหวุงเต่า อยู่ใกล้กับนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นตลาดหลัก และเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งโครงการฯ นี้มีการนำเทคโนโลยีชั้นสูง และทันสมัยที่มีมาตรฐานด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมในระดับสากล มาใช้ในกระบวนการผลิต โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จะสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศเวียดนาม และในภูมิภาคอาเซียน ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสรุปรายละเอียดกับพันธมิตรผู้ร่วมทุน ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในกลางปีคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 5 ปี และจะเริ่มผลิตได้ในปี 2565
สำหรับธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ล่าสุดได้เข้าลงทุนใน Vietnam Construction Materials JSC (“VCM”) ซึ่งเป็นธุรกิจซิเมนต์ครบวงจรในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 3.1 ล้านตันต่อปี ตั้งอยู่ในจังหวัดกว๋าง-บิ่นอยู่ในภาคกลางของประเทศ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการทำธุรกิจ ที่สามารถรองรับความต้องการของตลาดปูนซีเมนต์ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศได้เป็นอย่างดี ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมาร์ได้เริ่มผลิตสินค้าออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมกราคม และสปป.ลาวในเดือนมีนาคม ปัจจุบันเอสซีจีมีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในอาเซียนไม่นับประเทศไทย รวม 10.5 ล้านตันต่อปี
ด้านธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจีได้ลงทุนใน Indocorr ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพสูงในประเทศอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตรวม 32,000 ตันต่อปี ปัจจุบันเอสซีจีมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ รวมทั้งหมด 1,045,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังหาโอกาสในการลงทุนในบรรจุภัณฑ์ทุกประเภท ทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษ และFlexible Packaging เพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในไทย และภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปที่เน้นการบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น”
สำหรับยอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 คิดเป็น 43,759 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 ของยอดขายรวม