ลำปาง - สองตายายลำปางสุดรันทดถูกแจ้งจับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งตัดต้นสัก-แผ้วถางป่า-ปิดกั้นทางสาธารณะ ครอบครัวถูกรังเกียจต้องย้ายงานย้ายที่เรียน ถูกปรับนับแสนสู้คดีจนแทบหมดตัว คาดเข้าใจผิดร้องเรียนบ่อขยะหมู่บ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับแจ้งจากครอบครัวหนึ่งมีคุณตาถนอม ใจไหว อายุ 68 ปี ยายคำน้อย ใจไหว อายุ 64 ปี สามีภรรยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ้านทุ่งฮี หมู่ 1 ต.วังทรายคำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ปัจจุบันได้รับความทุกข์ยากอย่างหนักเพราะเคยถูกกล่าวหาว่าตัดไม้ในป่าจนถูกผู้นำชุมชนปรับเป็นเงิน 5,000 บาทโดยไม่มีเอกสารใดๆ ให้ ถูกดำเนินคดีจนกลายเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ลูกสาวถูกกดดันให้ลาออกจากเป็นครูอัตราจ้างในพื้นที่ หลานชายถูกรังเกียจจึงต้องย้ายไปเรียนในหมู่บ้านอื่น ถูกร้องเรียนให้ออกจากการเป็นจิตอาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ล่าสุดถูกแจ้งความข้อหาครอบครองและแผ้วถางป่า
ตาถนอมและยายคำน้อยเล่าว่าครอบครัวเคยบุกเบิกทำกินบนที่ดินแห่งนี้เป็นรายแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 มีการทำแนวเขตเพื่อปลูกข้าว ข้าวโพดและพืชผักสวนครัว มีหน่อต้นสักที่เกิดจากต้นเดิมที่บิดาของคุณยายคำน้อยเคยปลูกและตัดออกไป มีกระท่อมไม้เก่า 1 หลัง เนื้อที่ 6-1-27 ไร่ ต่อมาตาถนอมเห็นว่ากระท่อมทรุดโทรมจึงตัดต้นสักในสวนจำนวน 1 ต้น เพื่อนำไปซ่อมแซม แต่ปรากฏว่าถูกผู้นำคนหนึ่งแจ้งว่าเป็นการกระทำความผิดเพราะตัดไม้ในเขตป่าสาธารณะ (คสล.) ต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 5,000 บาท ทำให้ลูกสาวของพวกตนนำเงินเดือนเดือนสุดท้ายไปจ่ายให้ ต่อมาทั้งคู่ยังถูกให้ออกจากโครงการต่างๆ ที่ร่วมกับคนในหมู่บ้านเพราะมีการปล่อยข่าวว่าอาศัยอยู่ในเขตต้องห้าม แม้ลูกสาวของทั้งคู่ได้ไปสอบถามที่สำนักงานทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง จนทราบว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติขุนวัง แปลง 2 ซึ่งสามารถเข้าร่วมโครงการของรัฐได้ก็ตาม
ล่าสุดตาถนอมและยายคำน้อยได้ขอตรวจสอบสิทธิที่ดินและร้องต่อศูนย์ดำรงธรรมให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำคนดังกล่าว เพราะพื้นที่ใกล้เคียงมีการแผ้วถางป่าแต่กลับไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายเหมือนกัน เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปตรวจสอบสิทธิก็รับรองว่าเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรตามโครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้ชุมชน แต่ผู้นำคนดังกล่าวก็ไม่ยอมให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ หลังเสร็จสิ้นเรื่องสิทธิที่ดินทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้แจ้งว่าเมื่อมีคนร้องว่ามีการตัดไม้สักโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงต้องแจ้งความดำเนินคดีต่อสองตายาย ล่าสุดศาลตัดสินให้เสียค่าปรับเป็นเงิน 100,000 บาท แต่เนื่องจากไม่มีเงินจึงให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นเวลา 400 ชั่วโมงแทน ส่วนค่าปรับที่ผู้นำเคยปรับให้คืนแก่ทั้งคู่เสียเพราะไม่มีอำนาจ
หลังเสร็จเรื่องครอบครัวนี้ยังถูกร้องเรียนว่าปิดกั้นทางสาธารณะแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจก็พบว่าเป็นเส้นทางเดิมที่เคยใช้ แต่ก็มีการร้องเรียนต่ออีกว่ามีการครอบครองและแผ้วถางป่า ทำให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เข้าแจ้งความต่อทั้งคู่ที่ สภ.วังเหนือ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 กล่าวหาว่ามีการครอบครองและแผ้วถางป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตายถนอมและยายคำน้อยกล่าวทั้งน้ำตาว่าพวกตนท้อแท้กับชีวิตมากเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมในหลายเรื่อง ถูกผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งโดยไม่ทราบสาเหตุ คาดว่าอาจจะเกิดจากการที่ผู้นำบางคนคิดว่าพวกตนไปร้องเรียนเรื่องปัญหาบ่อขยะในหมู่บ้าน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงไม่เคยร้องเรียนแต่อย่างใด ปัญหาหนักคือหลังถูกดำเนินคดีกรณีตัดต้นไม้ก็ต้องใช้เงินในการสู้คดี ต้องกู้หนี้ยืมสินจนครอบครัวแทบจะล้มละลาย เกิดความเดือดร้อนทางสังคมมากมาย จึงสงสัยว่าเหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงไม่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งๆ ที่พวกตนมีหลักฐานทุกอย่าง ชาวบ้านใกล้เคียงได้รับข่าวสารผิดก็มากดดันซ้ำ ทำให้พวกตนรู้สึกเจ็บช้ำใจและไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว


