xs
xsm
sm
md
lg

ซึ้งทั้งแผ่นดิน! ทายาทรุ่นที่ 7 เชื้อสายอโยธยา ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปพม่าเมื่อ 260 ปีก่อน กลับมาเหยียบแผ่นดินบรรพบุรุษอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากด้วยความปลื้มใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พระนครศรีอยุธยา ทายาทรุ่นสุดท้ายของชาวอโยธยาในพม่า เดินทางกลับ “อยุธยา” แผ่นดินบรรพบุรุษ หลังถูกกวาดต้อนเป็นเชลยเมื่อเสียกรุงศรีครั้งที่ 2 เมื่อปี 2310 เหยียบผืนดินครั้งแรกในรอบ 260 ปี หลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจ พร้อมกราบไหว้ศาลหลักเมืองและวัดพระราม

วันนี้ ( 17 ต.ค.) นายปัณณพัทธิ์ คำนึง นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ พร้อมคณะ ได้จัดกิจกรรม “พาชาวบ้านสุขขะ” ซึ่งเป็นกลุ่มเชื้อสายชาวอโยธยาในประเทศเมียนมา เดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อกลับมาเยี่ยมแผ่นดินบรรพบุรุษเป็นครั้งแรกในรอบ 260 ปี หลังจากบรรพชนถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปยังพม่า เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310

คณะที่เดินทางมาครั้งนี้ ประกอบด้วย นายมาไจนา (Margaina) เจ้าอาวาสวัดในหมู่บ้านสุขขะ, นายซอ วิน (Zaw Win) ผู้ใหญ่บ้าน, คุณยายดอ ติน ทวย (Tin Htwe) อายุ 83 ปี และ นางดอ ติน ย๊วด (Tin Nyunt) ทั้งหมดเป็นทายาทรุ่นที่ 7 ของชาวอโยธยาที่อาศัยอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา โดยเดินทางมาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง ก่อนมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ทันทีที่รถเดินทางถึง ศาลหลักเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทุกคนต่างหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติเมื่อได้เหยียบแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ดินแดนบรรพบุรุษเป็นครั้งแรก พร้อมร่วมกันกราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผูกผ้าที่เสาศาลหลักเมือง คุณยายดอ ติน ทวย กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ดีใจมาก ปลื้มใจจนพูดไม่ออก วันนี้ได้กลับมาบ้านเกิดของบรรพบุรุษแล้ว”

จากนั้น คณะได้เดินทางต่อไปยัง วัดพระราม โบราณสถานสำคัญภายในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่อกราบไหว้และเยี่ยมชมโบราณสถาน เมื่อคุณยายดอ ติน ทวย ถอดรองเท้าเดินสัมผัสพื้นดินโบราณที่ได้ยินเรื่องราวผ่านการบอกเล่ามาหลายชั่วอายุคน ถึงกับร้องไห้อีกครั้งด้วยความซาบซึ้งใจ

นายปัณณพัทธิ์ คำนึง เปิดเผยว่า เดิมโครงการนี้ตั้งใจจัดมาก่อนหน้า แต่ติดปัญหาเรื่องเอกสารและหนังสือเดินทางของชาวเมียนมา จึงล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน โดยผู้ที่เดินทางมาครั้งนี้ถือเป็น “รุ่นสุดท้าย” ที่ยังได้รับฟังเรื่องราวจากรุ่นปู่ย่าตายายโดยตรงเกี่ยวกับต้นตระกูลจากกรุงศรีอยุธยา รุ่นถัดไปแทบไม่มีใครพูดภาษาไทยได้แล้ว เพราะวัฒนธรรมไทยเริ่มเลือนหายไป

คุณยายดอ ติน ทวย กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า บรรพบุรุษเคยสอนว่า “เรามาจากอยุธยา ต้องก่อกองทรายทุกปีในวันสงกรานต์ เพราะเป็นประเพณีของบรรพบุรุษ” และยังพูดคำไทยบางคำได้ เช่น “ขนม กล้วย ดี น้ำอ้อย” ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำตา “ดีใจมากค่ะ ขอบคุณค่ะ” ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้ร่วมงาน

ด้านนายโชควิวรรธน์ คุณะวันทนิต อายุ 38 ปี ชาวจังหวัดนครราชสีมา ผู้ติดตามโครงการ เล่าว่า ตนรู้สึกตื้นตันที่ได้ต้อนรับลูกหลานอยุธยากลับบ้าน และขอชื่นชมโครงการของนายปัณณพัทธิ์ ที่เปิดโอกาสให้ทายาทชาวสุขขะได้สัมผัสรากเหง้าแห่งแผ่นดินของตนเอง หลังรอคอยมานานกว่าสองศตวรรษครึ่ง










กำลังโหลดความคิดเห็น