อุดรธานี-สลดกลางเมืองอุดรฯ แม่วัยชราจุดเตาอั้งโล่รมควัน หวังลาโลกพร้อมลูกชายพิการวัย 29 ปี สุดท้ายลูกชายเสียชีวิต ส่วนแม่อาการโคม่า เผยพบจดหมายลาตายสั่งเสียลูกชายอีกคน ไม่ให้จัดการศพ ไม่ต้องทำบุญหา ตำรวจคาดสาเหตุจากเครียดสะสม–ทุกข์ใจเรื่องครอบครัว
วันนี้ ( 21 ส.ค.) ศูนย์วิทยุร่มโพธิ์ทอง สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีผู้เสียชีวิตจากการรมควัน เสียชีวิตภายในบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลบ้านจั่น อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี หลังรับแจ้ง จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประสานหน่วยกู้ชีพกู้ภัยเข้าตรวจสอบทันที
ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย ทราบชื่อภายหลังคือนายอาชิตพล นามสอน อายุ 29 ปี เป็นลูกชายพิการของเจ้าของบ้าน ใกล้กันพบหญิง 1 ราย ทราบชื่อต่อมาคือนางสาวศิริลักษณ์ นามสอน อายุ 65 ปี ยังมีสติแต่หมดเรี่ยวแรง ตำรวจจึงปั๊มหัวใจและรีบนำส่งโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม โดยแพทย์ระบุว่าอาการโคม่าและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ตรวจสอบภายในบ้าน พบเตาอั้งโล่ ที่ยังมีร่องรอยการจุดไฟ 1 เตา และจดหมายลาตาย 1 ฉบับ เขียนด้วยลายมือของผู้เป็นแม่ รวมทั้งยังมีถ่านหุงต้มจำนวนหนึ่งวางอยู่ คาดว่าพยายามจบชีวิตพร้อมลูกชายพิการด้วยกัน โดยจดหมายลาตายเขียนด้วยลายมือ ระบุว่า “ถึงเบล ลูกรัก แม่ขอโทษที่แม่ได้ตัดสินใจแบบนี้ ก่อนอื่นให้โทรบอกน้าก้อย และโทรหาลุงเหมียว เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องเอกสารต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ ทั้งการแจ้งตายและการติดต่อขอรับเงิน ช.พ.ค ทีแรกแม่ตั้งใจจะบริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาลศรีนครินทร์ แต่แม่เปลี่ยนใจให้เอาศพไปที่วัดเลย
ทั้งแม่และน้องไม่ต้องทำพิธีทางศาสนา ไม่ต้องบอกใคร ให้บอกลุงเหมียวด้วย กระดูกก็ไม่ต้องเก็บ ให้ดำเนินการติดไว้ที่วัดก่อน เดี๋ยวไปทำเรื่องรับ ช.พ.ค แล้วค่อยนำมาจ่าย (ค่าสัปเหร่อ เจ้าหน้าที่ดำเนินการ) เบลต้องใช้เงินที่แม่ทำไว้ให้อย่างประหยัด ห้ามให้ใครยืม เก็บไว้เป็นทุนชีวิตต่อไป อย่าลืมโทรบอกพี่โบ้ และโอนเงินให้พี่โบ้ด้วย 20,000 บาท เพราะพี่โบ้เคยช่วยเหลือด้านการเงินแม่มาจำนวนหนึ่ง หมายเหตุ: ค้นหาวิธีทำตามศาสนา งดสวดเผาได้เลย และไม่ต้องบอกใครใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องทำบุญหาด้วย Everything is dust in the wind.”
เบื้องต้นตำรวจได้เก็บหลักฐานทั้งหมดในที่เกิดเหตุ และอยู่ระหว่างสอบสวนสาเหตุที่แท้จริง เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากความเครียดและปัญหาชีวิตของครอบครัว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือด้านสังคมและเยียวยาต่อไป
นายบรรณวิทย์ นามสอน อายุ 35 ปี ลูกชายผู้บาดเจ็บและเป็นพี่ชายของผู้เสียชีวิต เล่าว่าเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. ขณะกำลังจะเข้านอน ตนเห็นแสงไฟแวบๆ จากในห้องที่แม่และน้องพักอยู่ แต่ไม่ได้เอะใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่โซฟา กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เดินออกมาที่ห้องโถง พบเตาอั้งโล่และถุงถ่านวางอยู่ ประตูห้องนอนถูกล็อก เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบ จึงเริ่มเอะใจว่าแม่อาจรมควันฆ่าตัวตาย จึงรีบโทรแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจและเจ้าหน้าที่มาถึงและช่วยกันเปิดประตู ก็พบว่าเกิดเหตุสลดจริงๆ
คาดว่าสาเหตุที่แม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ มาจากความน้อยใจและเครียดที่ร่างกายอ่อนแรง ทำงานนวดสู้เพื่อนไม่ไหว ขณะที่ผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นน้องชายก็ป่วยพิการ เป็นเด็กพิเศษ ทำให้แม่เกิดความทุกข์ใจสะสม ทั้งนี้ตนไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต เพราะแม่เคยพูดคุยและสั่งเสียไว้นานแล้ว ว่าหากเสียชีวิตไปให้จัดการอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าแม่จะเลือกทำเช่นนี้ในวันนี้
ด้านนางสุทธินี ฉิมรักแก้ว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านดงเค็ง และเป็นเพื่อนรุ่นน้องของผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ผู้บาดเจ็บเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันดี เขามีอาชีพรับจ้างนวดตามบ้าน และเคยเล่าปัญหาชีวิตให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้ผู้บาดเจ็บเคยสอบถามตนว่า ถ้าจะจัดงานศพที่บ้านเราต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ตนจึงตอบไปว่าค่าใช้จ่ายหากไม่มีจริงๆก็ช่วยกันได้ คงไม่เกิน 3,000–4,000 บาท แต่ตอนนั้นไม่ได้เอะใจอะไร พร้อมทั้งปลอบใจว่าไม่ควรคิดมาก ซึ่งผู้บาดเจ็บก็ตอบกลับว่า พูดไปตามประสาคนแก่ เพราะเมื่ออายุมากแล้วก็ต้องวางแผนชีวิต
อย่างไรก็ตามนางสุทธินี เชื่อว่าสาเหตุที่เพื่อนคิดสั้น น่าจะมาจากความเครียดที่ต้องดูแลลูกชายคนเล็ก ซึ่งป่วยพิการออทิสติก จึงอาจทำให้เกิดความกดดันและตัดสินใจคิดสั้นรมควันฆ่าตัวตายพร้อมลูกชาย