เชียงใหม่-หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ(นบ.ยส.35) แถลงผลปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ในพื้นที่ 21 อำเภอชายแดนเหนือ เผย6เดือนสกัดกั้นยาบ้าทะลุ 233 ล้านเม็ด ไอซ์กว่า8,000กิโลฯ จับกุมเครือข่ายยาเสพติด 24 เครือข่าย ขยายผลยึดทรัพย์สินได้กว่า 389 ล้านบาท พร้อมจัดตั้งกำลังประชาชนร่วมเฝ้าระวังยาเสพติด 1,553 หมู่บ้าน
วันนี้(8 ส.ค.68)ที่โรงแรมกรีนเลค รีสอร์ทเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35) ได้จัดแถลงผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe”ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ในพื้นที่ 21 อำเภอชายแดนภาคเหนือ โดยมีพลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ(ผบ.นบ.ยส.35) เป็นประธานการแถลงข่าว ร่วมกับ พลตรี ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร,พันเอก มีชัย นิลศาสตร์ รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง, พ.ต.อ.ทักษิณ จันทะวงค์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5,พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ,พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3,นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ,นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ,นายภูธนะ ชมภูมิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นางสาวหทัยภรณ์ อินต๋า ผู้อำนวยการส่วนควบคุมทางศุลกากร สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 และนายธันวา ผุดผ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 5
ทั้งนี้ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา กำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเด็ดขาดและครบวงจร จากสถานการณ์ยาเสพติดตามชายแดนที่แพร่ระบาด คณะกรรมการ ป.ป.ส. จึงได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและกำหนดผู้รับผิดชอบตามมาตรา 5 (10) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ในพื้นที่ 14 จังหวัด 51 อำเภอชายแดน แม้ที่ผ่านมาจะสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้จำนวนมาก แต่ยังปรากฏว่ามียาเสพติดหลุดรอดเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศหรือผ่านไปยังประเทศที่ 3 เพื่อให้เกิดการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มข้นขึ้น จึงได้กำหนดให้มีแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกําลัง 51 อำเภอชายแดน โดยมุ่งหวังที่จะแก้ไขการลักลอบนําเข้ายาเสพติดไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในระยะ เวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. – 31 ก.ค.68 ภายใต้กรอบแนวคิด Seal พื้นที่ชายแดน Stop หยุดวงจรยาเสพติด และ Safe สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับชุมชน
โดยชายแดนภาคเหนือมีพื้นที่เป้าหมายดำเนินการ 6 จังหวัด 21 อำเภอ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง และอำเภอไชยปราการ,จังหวัดเชียงราย 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่จัน อำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ อำเภอเวียงแก่น และอำเภอเทิง,จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปาย และอำเภอปางมะผ้า,จังหวัดพะเยา 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอภูซาง,จังหวัดน่าน 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และจังหวัดตาก 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุ้มผาง อำเภอพบพระ อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด และอำเภอท่าสองยาง
พลโทกิตติพงศ์ ระบุว่า แม้ปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” จะมีกรอบระยะเวลาดำเนินการเพียง 6 เดือน แต่ผลการดำเนินการกลับสะท้อนถึงประสิทธิภาพที่ชัดเจน ทั้งในด้านการสกัดกั้นยาเสพติด การจับกุมเครือข่าย การค้ายาเสพติด การขยายผลสู่การยึดทรัพย์สิน และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยตามแนวชายแดน ซึ่งจากผลปฏิบัติการสามารถสกัดตรวจยึดยาบ้าได้จำนวน 233,259,598 เม็ด ไอซ์ 8,786 กิโลกรัม รวมถึงยาเสพติดชนิดอื่นและสารเคมีที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด กลุ่มขบวนการเสียชีวิตจำนวน 25 ราย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่ามีการตรวจยึดยาบ้าเพิ่มขึ้นต่อเดือนถึงร้อยละ 33 ส่วนไอซ์ ตรวจยึดได้เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว
นอกจากนี้การบังคับใช้กฎหมาย สามารถดำเนินการต่อเครือข่ายการค้ายาเสพติดตามเป้าหมายได้จำนวน 24 เครือข่าย และขยายผลโดยการใช้มาตรการสมคบสนับสนุนและช่วยเหลือได้อีก 66 คดี จับกุมคดีร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดได้จำนวน 1,985 คดี และยึดทรัพย์สินกลุ่มขบวนการ มูลค่ากว่า 389 ล้านบาท ในด้านการสร้างพื้นที่ปลอดภัย สามารถส่งเสริมให้มีกำลังภาคประชาชนในการมีส่วนร่วมเฝ้าระวังยาเสพติด โดยจัดตั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านได้ครบตามเป้าหมายจำนวน 1,553 หมู่บ้าน ซึ่งกำลังภาคประชาชนสามารถให้การสนับสนุนงานด้านการข่าว การเฝ้าระวัง การสกัดกั้น และการป้องกันยาเสพติดให้กับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการปฏิบัติการอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่เชิงบวก โดยพบว่ากลุ่มขบวนการมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่นำเข้ายาเสพติดไปยังพื้นที่แห่งใหม่ เช่น พื้นที่จังหวัดน่าน และพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ตลอดจนปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเข้าและลำเลียงที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเพื่อต่อต้านการสกัดกั้นหรือการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ เช่น การลำเลียงโดยส่งพัสดุภัณฑ์ การลักลอบลำเลียงในระยะสั้นๆ และส่งต่อเป็นทอดๆ เพื่อหวังตัดตอนไม่ให้มีการสาวถึง นอกจากนี้ การสกัดกั้นที่เข้มข้นและต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดบริเวณชายแดนภาคเหนือเกิดความเกรงกลัว ส่งผลต่อราคาค่าจ้างในการขนลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดนเพิ่มสูงขึ้น และขาดแรงงานในการลำเลียงอีกด้วย
ขณะเดียวกันพลโทกิตติพงศ์ กล่าวว่า การปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ถือเป็นกลไกการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถยกระดับการดำเนินการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และส่งผลให้การสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนของไทยมีความเข้มแข็ง ครอบคลุม และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง โดยมีสำนักงาน ปปส.ภาค 5 และภาค 6 เป็นฝ่ายเลขานุการ และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยภาคี อาทิ ศุลกากรภาค 3 สำนักงานอัยการภาค 5 กรมโรงงานอุตสาหกรรม กอ.รมน. และกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแจ้งเบาะแส ซึ่งแม้กรอบเวลาดำเนินการตามแผน “Seal Stop Safe” จะสิ้นสุดลง แต่หน่วยงานในพื้นที่ยังคงมีหน้าที่ปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือต่อไป ซึ่งยังคงมุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องมือพิเศษ โดรนตรวจการณ์ กล้องอินฟราเรด และระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเสริมประสิทธิภาพการปราบปรามยาเสพติดให้ลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น