ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง-จันทบุรี ประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
เมื่อเวลา 14.49 น. วันนี้ (4 ก.ค.) นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ 'วังสามพญา' วัดละหารไร่ ม.8 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เพื่อนำไปจัดทำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
โดยจัดให้มีพิธีพราหมณ์บวงสรวงเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองจะทำพิธีตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ใน 'วังสามพญา' ใส่ขันสาคร และอัญเชิญขันสาครรวมทั้งที่ตักน้ำขึ้นรถบุษบกที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เดินทางไปพระอุโบสถวัดป่าประดู่ ที่มีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชนรอเข้าร่วมพิธีอีกเป็นจำนวนมาก
สำหรับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ 'วังสามพญา' วัดละหารไร่แห่งนี้จากคำบอกเล่าในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เดินทัพผ่านมาทุ่งละหารใหญ่ และแวะพักไพร่พล ช้างม้า ณ บริเวณนี้ โดยระหว่างพักได้นำช้างศึกลงอาบน้ำบริเวณบึงใหญ่ที่มีน้ำใต้ดินไหลซึมตลอดเวลาก่อนยกทัพเข้าตีเมืองระยอง ต่อมา ชาวบ้านเรียกว่า 'วังสามพญา' หมายถึงวังที่ช้างศึกของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชลงเล่นน้ำ
จันทบุรีประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 แห่ง
และในเวลาเดียวกัน นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้เป็นประธานประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดพลับ ต.บางกะจะ อ.เมืองจันทบุรี ใส่ขันสาคร เคลื่อนขบวนไปเก็บไว้ที่พระอุโบสถวัดพลับ เพื่อรอประกอบพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ค.2567 โดยถือฤกษ์เวลา 17.09 น. และประกอบพิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ในวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม 2567 ฤกษ์เวลา 12.00 น.
ทั้งนี้ จังหวัดจันทบุรีได้ดำเนินการนำน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปจัดทำน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย
1.แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สระแก้ว ต.พลอยแหวน อ.ท่าใหม่ 2.แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ธารนารายณ์ ต.คลองนารายณ์ อ.เมืองจันทบุรี และ 3.แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดพลับ ต.บางกะจะ อ.เมืองจันทบุรี
โดยที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สระแก้ว ต.พลอยแหวน อ.ท่าใหม่ นายวิสุทธิ์ ประกอบความดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธาน นำข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนร่วมประกอบพิธี
ส่วนที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ธารนารายณ์ นายธวัชชัย นามสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธาน นำข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนร่วมประกอบพิธี
ทั้งนี้ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ “วัดพลับ” นัั้นเมื่อครั้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จัดเตรียมกองทัพอยู่ที่วัดพลับ พระองค์ได้ทรงใช้น้ำในบ่อน้ำทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมกองทัพก่อนออกศึก ต่อมา ราชวงศ์จักรีขึ้นครองราชย์ ก็ทรงใช้น้ำในบ่อนี้ทำน้ำพระพุทธมนต์ราชาภิเษกในการเสด็จขึ้นครองราชย์เช่นกัน
ขณะที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สระแก้ว ในอดีตน้ำจากสระแก้วจะถูกนำไปใช้ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญในสำนักพระราชวังมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการเพิ่มแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากมณฑลต่างๆ อีก 10 มณฑล และหนึ่งในนั้นคือ มณฑลจันทบุรี โดยในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7 พุทธศักราช 2468 และรัชกาลที่ 9 พุทธศักราช 2493 ได้พลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์จากจันทบุรี จำนวน 2 แหล่ง คือ ที่ธารนารายณ์ (น้ำตกคลองนารายณ์) และที่ สระเก้ว (ตำบลพลอยแหวน)
ด้านแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ “ธารนารายณ์” เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติใสสะอาดที่ไหลออกมาจากถ้ำพระนารายณ์ มีกำเนิดจากต้นน้ำ คือน้ำตกคลองนารายณ์ ยอดเขาสระบาป จากหลักฐานประวัติศาสตร์แสดงถึงความสำคัญของน้ำตกแห่งนี้ คือในปี พ.ศ.2403 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จประพาสเมืองจันทบุรี ได้ทรงเยี่ยมชม พร้อมทรงสร้างพระเจดีย์ขึ้นองค์หนึ่งด้วยศิลาแลงกลางลำธาร สูง 3 วา ต่อมาในปี พ.ศ.2419 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินน้ำตกแห่งนี้เช่นกัน พร้อมทั้งได้พระราชนิพนธ์โคลง ดังนี้
“สระ บาปบาปก่อนสร้าง ปางใด
สระ บ่อสระทรวงใน สร่างสร้อย
สระ สนานยิ่งอาไลย นุชนาฎ
สระ ช่วยสระบาปน้อย หนึ่งให้สบนาง”
ต่อมา ในปี พ.ศ.2517 เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดเจดีย์พังทลายไป แหล่งน้ำธารนารายณ์ จากน้ำตกคลองนารายณ์แห่งนี้เป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 18 แห่งของประเทศที่ใช้ในพิธีมุรธาภิเษก พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
