อุบลราชธานี - เลขาธิการ ป.ป.ส.ชี้ชนกลุ่มน้อยที่ผลิตยาเสพติดส่งเข้ามาขายในประเทศไทยต้องการเงินซื้ออาวุธ ทำให้จับกุมยาบ้าเพิ่มจากปีที่แล้วกว่า 4 เท่า มีบางส่วนเล็ดลอดเข้ามาได้ ทำให้ต้องมีโครงการบำบัดยาเสพติดอย่างยั่งยืน สู้กับยาที่ทะลักเข้ามา
ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และ ป.ป.ส.ภาค 3 ร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง แถลงข่าวการปราบปรามจับกุมตาม “ยุทธการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย พื้นที่ 8 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง” ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงปัจจุบันจับผู้ต้องหากว่า 8,700 คดี ยึดของกลางเป็นยาบ้ากว่า 4.3 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 580 กรัม ยึดทรัพย์สินของขบวนการค้ายาเสพติดได้กว่า 186 ล้านบาท
เฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จับผู้ต้องหารายสำคัญได้ 3 คน ยึดยาบ้าได้กว่า 4.5 แสนเม็ด ยึดทรัพย์ได้เกือบ 7 ล้านบาท ทำให้การแพร่ระบาดยาเสพติดตามตะเข็บชายแดนอีสานใต้มีแนวโน้มลดลง แต่ยังมีผู้ป่วยจากการเสพยามากขึ้น
ดังนั้น นอกจากการปราบปรามแล้ว สำนักงาน ป.ป.ส.ยังมีโครงการชุมชนบำบัดอย่างยั่งยืน นำผู้เสพที่สมัครใจเข้ารับการบำบัด ตามกระบวนการของกระทรวงสาธารณสุข และทำการฝึกอาชีพ เมื่อผ่านการบำบัดจะมีอาชีพสามารถกลับเข้าไปอยู่ร่วมกับชุมชน ก็จะช่วยลดระดับความรุนแรงของยาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดลงได้
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีแหล่งผลิตยาเสพติด มีแต่ผลิตมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้ชนกลุ่มน้อยที่เป็นผู้ผลิตยาเสพติดต้องการเงินไปซื้ออาวุธ ทำให้มีการแพร่ระบาดมากขึ้น การเข้ามาของยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคเหนือและภาคอีสาน ได้ใช้กองทัพภาคที่ 3 และ 2 ในการปิดพื้นที่ ทำให้สถิติการจับกุมเพิ่มขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
แสดงว่าการสกัดกั้นของเราได้ผล แต่ยังมียาบ้าบางส่วนรอดเข้ามาได้ ทำให้แพร่ระบาดในพื้นที่ชั้นใน ดังนั้น การที่ชุมชนยั่งยืนลุกขึ้นมาสู้กับยาเสพติดจึงเป็นการแก้ปัญหายาเสพติดที่ถูกต้อง
ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดกับ ป.ป.ส.มี 4,414 คน อาศัยอยู่ใน 30 จังหวัด 85 อำเภอ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอยู่ 16 อำเภอ ในจำนวนนี้จะผ่านการคัดกรองว่าผู้ผ่านการบำบัดสามารถอยู่กับชุมชนได้หรือไม่ ถ้ายังไม่สามารถปรับตัวได้ ก็ใช้ค่ายทหารเป็นที่ปรับจิตใจเพิ่มขึ้นเพื่อให้เข้าไปอยู่ในชุมชนได้
