สุพรรณบุรี - ผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี ประกาศพื้นที่โรงงานพลุระเบิดเป็นพื้นที่ประสบสาธารณภัย พร้อมตั้งศูนย์ช่วยเหลือที่วัดโรงช้าง เผยครอบครัวผู้ประสบภัยจะได้รับเงินเยียวยาครอบครัวละ 3 แสนบาท ขณะที่รัฐบาลเร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิต
จากเหตุการณ์ที่สถานประกอบการผลิตพลุระเบิด เวลา 15.30 เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ณ บ้านเลขที่ 121 หมู่ที่ 3 ตำบลศาลาขาว อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี โดยสถานที่เกิดเหตุมีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ อยู่กลางทุ่งนา ไม่มีบ้านพักอาศัยใกล้เคียง แรงระเบิดมีรัศมี 100 เมตร ส่งผลให้สถานประกอบการเสียหายสิ้นเชิง และเป็นเหตุให้คนงานทั้ง 23 คน เป็นหญิง 16 ราย ชาย 7 รายเสียชีวิตทั้งหมดรวมถึงเจ้าของสถานประกอบการ คือนางเเสงเดือน ปานจันทร์ และบุตรชาย คือนายธนากร วัชระพิมลมิตร เสียชีวิตด้วย นอกจากนี้ ยังมีรถกระบะ 1 คัน ถูกไฟไหม้ทั้งคัน
นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมด้วยผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี ปภ.จังหวัด สาธารณสุขจังหวัด พม.จังหวัด อบต.ศาลาขาว มูลนิธิกู้ภัย ได้ลงพื้นที่หลังควบคุมเพลิงได้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กันพื้นที่เกิดเหตุ ส่งเจ้าหน้าที่เข้าเก็บร่าง และเศษชิ้นส่วนของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
พร้อมทั้งได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบสาธารณภัย พร้อมตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย (เหตุพลุระเบิด) ที่วัดโรงช้าง ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ส่วนการช่วยเหลือเบื้องต้น ได้ให้ญาติผู้เสียชีวิตได้แจ้งเจ้าหน้าที่พร้อมตรวจ DNA เพื่อยืนยันตัวบุคคลเพื่อใช้ในการยื่นขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ รายละ 10,000 บาท เงินจากกองทุนยุติธรรมเยียวยาครอบครัวละไม่เกิน 200,000 บาท กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ครอบครัวละ 3,000 บาท ค่าทำศพรายละ 10,000 บาท สำนักนายกรัฐมนตรี ค่าจัดทำศพ 50,000 บาท กรณีมีบุตรที่กำลังศึกษา ได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 50,000 บาท กองทุนเลี้ยงชีพ 30,000 บาท โดยรวมแล้วครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยาประมาณ 3 แสนบาท
ขณะที่การช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงทยอยให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เช่น การมอบถุงยังชีพ การเยียวยาจิตใจ จากกรมสุขภาพจิต สำนักสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากกระทรวงยุติธรรม นักสังคมสงเคราะห์กระทรวงการพัฒนาสังคม ขณะที่ทางจังหวัดขอความร่วมมือสื่อมวลชนหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการตอกย้ำความสูญเสีย และกระทบต่อจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยเร่งเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตครอบคลุมและรวดเร็วที่สุด
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตว่ารัฐบาลจะเร่งเยียวยา ค้นหาสาเหตุ และแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกำหนดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในวันที่ 19 มกราคมนี้ ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจพร้อมให้ความมั่นใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ว่ากระทรวงสาธารณสุขระดมบุคลากรเพื่อเร่งพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี ยังได้จัดทีมชุดเจ้าหน้าที่ Mcatt ลงพื้นที่ประเมินและเยียวยาจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมทั้งติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ที่เร่งพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของผู้เสียชีวิตทั้ง 23 ราย รวมถึงการติดตามความคืบหน้าของการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดระเบิด โดยมี พล.ต.ท.นัยวัฒน์ เผดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 นำกำลังดูแลสถานการณ์
นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ลงพื้นที่ติดตามหน่วยงานในกำกับทั้งเรื่องของการเยียวยาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย ที่จะได้รับรายละไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันจันทร์นี้พร้อมให้ครอบครัวผู้สูญเสียมั่นใจว่าแม้จะยื่นเรื่องไม่ทันภายในช่วงนี้ จะสามารถดำเนินการขอรับการช่วยเหลือได้ภายใน 1 ปี รวมถึงการให้ศูนย์ยุติธรรมจังหวัดและชุมชน ได้คอยรับเรื่องร้องทุกข์และให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด
ส่วน น.ส.ซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้นำทีมลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิตให้ครอบคลุมทุกมิติ การดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มีเด็กและการพัฒนาทักษะอาชีพในระยะต่อไป
ด้าน ดร.ธนันท์วรุตม์ ลิ้มทรงพรต ที่ปรึกษา รมช.มหาดไทย ได้เยี่ยมให้กำลังใจญาติของผู้เสียชีวิต พร้อมกล่าวว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ฝากความห่วงใยมายังประชาชนและเน้นย้ำว่าหัวใจสำคัญคือการดูแลสภาพจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วนการเยียวยาในเบื้องต้นซึ่งจะนำข้อมูลจากการลงพื้นที่รายงานต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวซ้ำขึ้นอีกเนื่องจากสถิติที่ผ่านมา ปี 2551-2567 เกิดเหตุมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง
ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งพิสูจน์อัตลักษณ์ โดยมีการชี้แจงขั้นตอนการพิสูจน์ศพ โดยยืนยันว่าจะดำเนินการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลให้ละเอียดมากที่สุดโดยบางรายที่สามารถตรวจสอบจากเสื้อผ้า ลายนิ้วมือ ศีรษะ จะทำให้ส่งศพให้ญาติได้โดยเร็ว ส่วนบางรายที่ต้องใช้การตรวจ DNA จะใช้เวลาราว 1 สัปดาห์จะแล้วเสร็จ