xs
xsm
sm
md
lg

กว่า 3 ปี ก่อนศาลพิพากษา “ลุงพล” ทำ ”น้องชมพู” ตาย เส้นผมหล่นในรถยนต์หลักฐานมัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวขอนแก่น-กว่า 3ปีที่คนไทยเฝ้ารอคอยว่าใครเป็นคนฆาตกรรม “น้องชมพู”ก็ได้คำตอบว่าเป็น “ลุงพล” เหมือนที่คาดเดากันไม่มีผิด แม้ไม่ได้ลงมือฆ่าแต่ประมาททำให้หลานสาวทางเมียอายุแค่3ขวบเศษถึงแก่ความตายและหลักฐานเด็ดมัดตัวลุงพลคือเส้นผมของน้องที่ถูกตัดด้วยของแข็งตกหล่นในรถยนต์ เส้นผมเล็กเกินกว่าจะทำความสะอาดได้หมด


กว่า 3 ปีที่คนไทยรอคอยว่าใครคือผู้เป็นต้นเหตุให้ “น้องชมพู่”ถึงแก่ความตายก็มาถึง หลังจากวันนี้ (20 ธ.ค.) ศาลจังหวัดมุกดาหารอ่านคำพิพากษาคำคุกจำเลยที่ 1 คือนายไชย์พล วิภา สามีของป้าแท้ๆของน้องชมพู่เป็นเวลา 20 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ป้าแต๋น สมพร หลาบโพธิ์ ซึ่งเป็นป้าแท้ๆของน้องชาพู เพราะหลักฐานโยงไม่ถึง และเป็นไปตามคาด นายไชย์พลได้ประกันตัวออกมาด้วยเงินสด 5แสนบาทเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

สำหรับหลักฐานที่มัดตัวลุงพลคือเส้นผมของน้องชมพู่ที่ตกหล่นบนรถยนต์ที่นายไชย์พลขับขี่ เป็นเส้นผมที่ถูกตัดด้วยของแข็ง ขนาดเส้นผมเล็กเกินไปที่จำเลยจะเก็บทำความสะอาดได้หมด

คดีสะเทือนขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 เด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ หายตัวไปอย่างปริศนาจากบ้านของตัวเอง เพื่อนบ้านกว่า 200 ชีวิต ออกตามหา 2 วัน 3 คืนไม่เจอ กระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคมถึงพบศพในสภาพเปลือยกายในป่าภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านถึง 2 กิโลเมตร คดีนี้มีจุดน่าสงสัยหลายประเด็น เช่น ในวันเกิดเหตุ แม่ฝากน้องชมพู่ไว้กับพี่สาวอายุ 13 ปี ที่ชื่อสะดิ้ง แต่สะดิ้งอ้างว่าเผลอหลับไป 10 นาที ช่วงนั้นเองที่ชมพู่หายไปแล้ว ต่อมาตำรวจสืบค้นภายหลังพบว่าสะดิ้งไม่ได้หลับตามที่อ้าง แต่เล่นแอป TikTok อยู่ หรือแม้แต่พ่อกับแม่ของน้องชมพู่ ถูกตั้งข้อน่าสงสัยเช่นกันว่าฆ่าลูกตัวเองหรือไม่

พนักงานสอบสวนเรียกสอบผู้สงสัยในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงคิวของ “ลุงพล” คนที่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่มากที่สุด โดยคุณแม่ของชมพู่มีพี่สาวแท้ๆ ชื่อ ป้าแต๋น หรือนางสมพร หลาบโพธิ์ และสามีของเธอชื่อ ลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 2 คน คนโตชื่อ โอม กับคนเล็กชื่อ น้ำมนต์ อยู่ชั้นประถมทั้งคู่ โดยลุงพลมีความสนิทสนมกับน้องชมพู่มาก ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาที่น้องเตรียมจะเข้าโรงเรียนอนุบาล ทั้งสองได้คลุกคลีกันบ่อยขึ้น ด้วยความสนิท ลุงพลถึงกับพูดขึ้นว่า ถ้าอนาคตพ่อแม่ไม่เลี้ยงชมพู่แล้ว จะขอรับเอาไว้เป็นลูกเอง


ท่ามกลางความสงสัยในตัวลุงพล ตำรวจขอให้รอผลการชันสูตรศพอย่างละเอียดก่อนเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง แล้วค่อยเริ่มสืบสวนไปทีละประเด็น โดยการชันสูตรศพ ผ่า 2 รอบ ครั้งที่ 1 ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ในจังหวัดอุบลราชธานี และครั้งที่ 2 ผ่าที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะได้รายละเอียดการชันสูตรครบถ้วนในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2563 กระแสสังคมขณะนั้นพุ่งเป้ากดดันไปยังตัวลุงพล

ในห้วงนี้ ลุงพลตกอยู่ในความเครียดอย่างหนัก ถูกคนในชุมชนตั้งข้อสงสัย รวมถึงญาติพี่น้องของฝั่งคุณแม่น้องชมพู่ก็เพ่งเล็งไปที่ตัวเขาเกือบ 2 เดือนที่ลุงพลถูกสงสัย แต่ลุงพลกับเมียก็พยายามใช้ชีวิตอย่างปกติ ถูกเรียกตัวสอบสวนหลายหน ก็ให้ความร่วมมือทุกครั้ง ต่อมา วันที่ 13 กรกฎาคม 2563 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดีได้แถลงความคืบหน้า โดยเฉพาะประเด็นผลชันสูตรศพอย่างละเอียด ระบุว่า “ไม่พบร่องรอยข่มขืน ฆาตกรรม และทำร้ายร่างกาย กระเพาะไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่ มีเพียงของเหลวเหลืออยู่ 10 มิลลิลิตร ขณะที่ สมอง และปอดไม่พบความผิดปกติที่เกิดจากการถูกทำร้าย กะโหลกศีรษะไม่พบการแตกร้าว คอไม่หัก ไม่มีรอยฟกช้ำ อวัยวะเพศไม่มีการถูกล่วงละเมิด เยื่อพรหมจรรย์อยู่ครบสมบูรณ์ สาเหตุที่น้องชมพู่เสียชีวิตคือ “ขาดอาหารและน้ำ” จนเสียชีวิต ไม่มีการทำร้ายใดๆ เกิดขึ้น

ดังนั้น จึงตัดประเด็นเรื่องการฆาตกรรมออกไปได้ เท่ากับว่าการเสียชีวิตของน้องชมพู่ จึงมีความเป็นไปได้เหลือเพียงสองทาง คือ

มีคนพาน้องชมพู่ แล้วเอามาปล่อยไว้กลางป่า ก่อนจะเสียชีวิตด้วยการขาดอาหารและน้ำ 2.น้องวิ่งเล่นพร้อมด้วยสุนัขตัวโปรด (ปลาส้ม) เข้ามาในป่าเอง ก่อนจะพลัดหลง แล้วสุดท้ายเสียชีวิตเองโดยไม่มีใครทำร้าย


อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังขาอีกว่า เด็กวัยเพียง 3 ขวบจะวิ่งขึ้นเขาที่อยู่ห่างจากบ้าน 2 กิโลเมตร โดยไม่มีใครพบเห็น ดูผิดปกติเกินไป นั่นทำให้ตำรวจต้องสอบปากคำชาวบ้านหลายหมู่บ้าน รวมแล้วมากกว่า 1 พันปาก มีการตรวจดีเอ็นเอคนเกี่ยวข้องราว 100 ราย แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายไปเลย

เมื่อยังไม่เจอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าลุงพลเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ทำให้ชาวเน็ตที่อยู่ฝั่ง #Saveลุงพล ลุงพลได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว มีฐานแฟนคลับทั้งในไทยและต่างประเทศ ลุงพลเปิด YouTube แชนเนลของตัวเองในชื่อ “ลุงพลป้าแต๋น แฟมิลี” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2563 ซึ่งในแชนเนลจะลงคลิปง่ายๆ เล่าวิถีชีวิตของตัวเอง

ความดังของเขาไม่หยุดแค่นั้น เมื่อจินตหรา พูนลาภ ศิลปินคนดังจับเอาลุงพลมาร้องเพลงพิเศษ เต่างอย ฉบับ จินตหรา feat. ลุงพล โดยเอ็มวีปล่อยออกมาในวันที่ 30 สิงหาคม 2563 และใช้เวลาแค่ 2 วัน ทะยานขึ้นไป 2 ล้านวิว พร้อมติดอันดับ 1 ในมาแรง (#1 on Trending) ในประเทศไทย จากนั้นลุงพลก็มีงานโชว์มากมาย แค่ไปโชว์ตัวก็เรียกเสียงกรี๊ดได้จากคนบางกลุ่มได้แล้ว รวมถึงได้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอีกหลายตัว

ในระหว่างที่ตำรวจยังสืบสวนคดีต่อ ลุงพลก็ยังอยู่ในกระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมีคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติดงภูพาน ตามด้วยเหตุการณ์ทำร้ายนักข่าวช่องอมรินทร์ 34 เป็นดรามาในแง่ลบอยู่เนืองๆ อย่างไรก็ตาม ยอดผู้ติดตามในแชนเนลของลุงพลก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ


ทางด้านของคดี หลังจากผ่านไป 1 ปีเต็ม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ว่า “คดีน้องชมพู่ยังไม่จบ แต่เรามีคำตอบให้แน่นอน ช้าเร็วอยู่ที่เรา และผมเชื่อว่ามีคำตอบที่สังคมพอใจแน่ เอาอย่างนี้แล้วกัน” โดยมีรายงานว่าตำรวจค้นพบเส้นขนจำนวน “3 เส้น” อยู่ในจุดที่เกิดเหตุ โดยหลังจากตรวจ DNA แล้ว สามารถชี้ชัดได้ว่าใครที่อยู่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่ในวันนั้น

ต่อมา 1 มิถุนายน 2564 ตำรวจออกหมายจับ “ลุงพล” มีความเกี่ยวพันกับคดีนี้จริง โดยแจ้ง 3 ข้อหา ได้แก่ 1.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร 2.ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย 3.กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

ในแต่ละข้อหา ไม่มีข้อไหนที่บ่งบอกว่าลุงพลทำการฆาตกรรม แต่เป็นการชี้ว่าลุงพลคือผู้ต้องสงสัยที่อาจจับตัวน้องชมพู่ไปปล่อยในป่า จนส่งผลให้น้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งแม้จะไม่ใช่การทำฆาตกรรมโดยตรง แต่เป็นการส่งผลให้เด็กถึงแก่ชีวิตทางอ้อม


ข้อสงสัยต่างๆดังกล่าวสอดรับกับคำพิพากษาของศาลจังหวัดมุกดาหารวันนี้(20ธ.ค.)จำเลยที่ 1 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านข้ายและท้ายทอยเป็นจ้ำ ๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตรวจดูให้ดีเลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้ บนเขาภูเหล็กไฟ

การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้ จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แกโจทก์ร่วมทั้งสอง


กำลังโหลดความคิดเห็น