ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ฯ เผยตัวเลขส่งออกเนื้อไก่ไทยปี 66 ยังทะลุหลักแสนตัน สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศกว่าแสนล้านบาท จากความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร สวนทางต้นทุนผลิตพุ่งต่อเนื่อง วอนรัฐหาทางเจรจาร่วม 3 ฝ่าย ทั้งผู้ปลูกพืชไร่ ผู้ประกอบการและหน่วยงานเกี่ยวข้อง หาทางแก้ปัญหาต้นทุนสู้คู่แข่ง
วันนี้ (20 ธ.ค.) ดร.ฉวีวรรณ นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ ผู้ส่งออกเนื้อไก่ไทยรายใหญ่ของไทย เผยถึงสถานการณ์การส่งออกเนื้อไก่ไทยในปี 2566 ว่ายังคงดีต่อเนื่อง แม้ก่อนหน้านี้จะมีความกังวลเรื่องการส่งออกเนื้อไก่ไทยอาจสะดุดในช่วงปลายปีจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก และปัญหาการสู้รบในหลายประเทศที่อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันซึ่งงถือเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ
แต่สุดท้ายกลับปรากฏว่า ยิ่งใกล้ถึงวันคริสต์มาสยอดคำสั่งซื้อเนื้อไก่จากต่างประเทศกลับสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความต้องการเนื้อไก่ดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนมากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ความต้องการเนื้อไก่ปรุงสุกกลับมีคำสั่งซื้อไม่มากเหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การส่งออกเนื้อไก่ดิบที่สูงขึ้นสามารถดันให้ตัวเลขการส่งออกเนื้อไก่ไทยในภาพรวมเติบโตขึ้นจากปีก่อน 15 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน และยังทำให้ตัวเลขส่งออกเนื้อไก่ไทยปี 66 ยังทะลุหลักแสนตัน สร้างเงินตราเข้าประเทศหลักแสนล้านบาท
ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การส่งออกเนื้อไก่ไทยเติบโตขึ้นมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงถึงประมาณ 36 บาท มีกำลังซื้อสินค้าได้มากขึ้น
"การส่งออกในปีนี้ถือว่ายังดี เพราะเรายังคงส่งเนื้อไก่ดิบและเนื้อไก่แปรรูปได้ทะลุหลักแสนตัน และคาดว่าในปีหน้าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ที่ประเทศมาเลเซียและสหภาพยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่นยังมีความต้องการเนื้อไก่จากไทยเป็นจำนวนมากเราจะไปได้ดี แม้ตลาดในประเทศจีนจะไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะจีนหันไปสั่งซื้อเนื้อไก่จากสหรัฐอเมริกา อีกทั้งการแย่งชิงตลาดส่งออกไปประเทศจีนที่รุนแรงขึ้นจนประเทศไทยสู้ไม่ได้ ซึ่งในปี 2567 ยังคงต้องจับตาว่าประเทศจีนจะประหยัดค่าใช้จ่ายอีกมากน้อยเพียงใด"
ส่วนแผนกระตุ้นตลาดส่งออกในปี 67 นั้น นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย มั่นใจว่าผู้ผลิตเพื่อการส่งออกของไทยมีขีดความสามารถในการหาตลาดใหม่ ซึ่งรัฐบาลเองได้ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการในการเชิญเข้าหารือเพื่อรับทราบถึงสถานการณ์การส่งออกในปีหน้า ทั้งในส่วนของผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผู้ปลูกพืชไร่และผู้ที่อยู่ในภาคเกษตรปศุสัตว์
โดยผู้ผลิตอาหารสัตว์อยากขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น ส่วนคนเลี้ยงสัตว์อยากได้อาหารในราคาที่ถูกลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหาทางออกร่วมกันเพื่อให้ทุกส่วนสามารถอยู่รอดได้
"ตลาดรับซื้อในต่างประเทศมีความเข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยของอาหารสูงมาก โดยเฉพาะสินค้าแปรรูปที่จะต้องเป็นที่พอใจของผู้บริโภคที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานฝีมือ ซึ่งทั้งหมดนี้โรงงานผู้ผลิตเพื่อการส่งออกจึงพยายามที่จะปรับปรุงตัวเองให้ได้ต้นทุนการผลิตที่ถูกลง แต่ได้สินค้าที่มีคุณภาพ เป็นที่พอใจของลูกค้าทั้งเรื่องรสชาติ และความปลอดภัย แต่จุดสำคัญที่สุดคือเรื่องต้นทุนการผลิต เพราะคู่ค้าในต่างประเทศยังคงต่อราคาสินค้าจากไทย"
ดร.ฉวีวรรณ ยังบอกอีกว่า หลังจากนี้ภาครัฐ ผู้เพาะปลูกพืชไร่ และผู้ผลิตเพื่อการส่งออกทั้ง 3 ส่วน จำเป็นต้องมีการพูดคุยเพื่อหาทางออกให้ได้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถลดต้นทุนการผลิตทั้งในเรื่องการเพาะปลูกและต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ที่มีผลต่อการผลิตเนื้อสัตว์เพื่อการส่งออกให้ได้ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า โดยเรื่องของการประกันราคาการนำเข้าธัญพืช
ส่วนปัญหาการลักลอบนำเนื้อสัตว์จากต่างประเทศเข้ามาขายตัดราคาผู้ค้าในประเทศไทยนั้น ดร.ฉวีวรรณ เผยว่าในส่วนของเนื้อไก่มีเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยเห็นได้จากข่าวสารที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ แต่เนื่องจากปัจจุบันการผลิตเนื้อไก่ของไทยยังสามารถส่งขายในต่างประเทศได้ จึงทำให้ไม่มีผลกระทบด้านราคา
วันนี้จึงมองว่าประโยชน์ได้ตกเป็นของผู้บริโภคในไทยที่จะได้บริโภคเนื้อไก่ในราคาที่ถูก แต่รัฐบาลจะต้องเข้มงวดกวดขันเรื่องความสะอาด และความปลอดภัยด้านอาหารเป็นสำคัญ