xs
xsm
sm
md
lg

ฮือฮา! "หนูสฟิงซ์"สายพันธุ์ใหม่สุดแปลก ไร้ขน-ผิวเหี่ยวย่นทั้งตัว ฝีมือเพาะเจ้าของฟาร์ม“The X cafe'”เชียงใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - ฮือฮา! “หนูสฟิงซ์” สายพันธุ์แปลกใหม่ ทั่วทั้งตัวไร้ขน ผิวหนังเหี่ยวย่น ใบหูกางใหญ่ ฝีมือเจ้าของ “The X cafe'” ฟาร์มสัตว์แปลกเชียงใหม่ ผู้พัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่องนานกว่า2ปี เริ่มต้นจากความบังเอิญจนประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ลูกค้าแห่จองซื้อล้นหลามคิวยาวเหยียดราคาตัวละ 10,000-15,000 บาท อนาคตเล็งพัฒนาสายพันธุ์ต่อยอดเพิ่มสีสันลวดลายสวยงาม


“หนูสฟิงซ์” เป็นชื่อที่ทาง “The X cafe'” ฟาร์มเพาะสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ(Exotic Pet) ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งให้กับหนูตัวน้อยความยาวจากปลายจมูกถึงปลายหางประมาณ 15 เซนติเมตร รูปร่างหน้าตาแปลกไปจากหนูปกติทั่วไป ด้วยลักษณะพิเศษที่มีใบหูกางใหญ่ ตามตัวไร้ขนและผิวหนังเหี่ยวย่นสีชมพู ซึ่งทางฟาร์มพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงกว่า2ปีที่ผ่านมา จนประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นครั้งแรกในโลกด้วย พร้อมมีการนำออกจัดแสดงในงานกิจกรรมของกลุ่มผู้ชื่นชอบสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ ทั้งที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากคนรักสัตว์ที่อยากมีเอาไว้เลี้ยงและต่างพากันขอสั่งจองซื้อล่วงหน้าอย่างล้นหลาม

ทั้งนี้นายศราวุธ สมสุข หรือ “พี่โจ๊ก” อายุ 42 ปี และนางนิชธาวัลย์ สมสุข หรือ “พี่มด” อายุ 42 ปี เจ้าของ “The X cafe'” เปิดเผยว่า เดิมทำอาชีพรับจ้างจัดแลนด์สเคปและจัดสวนเป็นหลัก แต่ด้วยความชื่นชอบส่วนตัวจึงทำการเพาะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษหรือสัตว์แปลกที่เรียกกันทั่วไปว่า Exotic Pet เช่น งู,กิ่งก่า,แมงมุม,กระต่าย,ปลา,กบ และหนู เป็นงานอดิเรกมาตลอดจนกระทั่งกลายเป็นอาชีพมานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยในส่วนของ “หนูสฟิงซ์” นั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากความบังเอิญเมื่อประมาณกว่า 2 ปีที่แล้ว เมื่อหนูไมค์(Mice) ที่เพาะเลี้ยงไว้ออกลูกมาแล้วมีลักษณะผิดปกติ เนื่องจากตามตัวไม่มีขน,ผิวหนังเหี่ยวย่นเป็นสีชมพูทั้งตัว และใบหูใหญ่ ทำให้คิดว่าอาจจะสุขภาพไม่แข็งแรง จึงทำการคัดแยกเลี้ยงไว้ต่างหาก


อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาสังเกตเห็นว่าที่จริงแล้วลูกหนูที่มีลักษณะผิดปกติดังกล่าวที่คัดแยกเลี้ยงไว้นั้น มีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติเหมือนหนูตัวอื่นๆ ทุกอย่าง ทั้งการกินอาหารที่เป็นธัญพืชเป็นหลักและการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ รวมทั้งมีอายุขัยประมาณ 2 ปี แต่แตกต่างจากหนูปกติแค่ตรงที่ไม่มีขน และผิวหนังที่เหี่ยวย่นเป็นสีชมพูทั้งตัว ซึ่งมองว่าลักษณะต่างๆ นี้เป็นความพิเศษ จึงทำการเก็บตัวอย่างและพัฒนาสายพันธุ์เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้สายพันธุ์ที่มีความเสถียรและมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งตั้งชื่อให้หนูชนิดนี้ว่า “หนูสฟิงซ์” ซึ่งช่วงแรกเกิดจะยังคงมีขนสีขาวขึ้นตามตัว แต่จะค่อยๆ หลุดไปจนหมด และผิวหนังเหี่ยวย่นเพิ่มมากขึ้นตามอายุ โดยเบื้องต้นเชื่อมั่นว่า “The X cafe'” น่าจะเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์และเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จเป็นแห่งแรกในประเทศไทย

ขณะเดียวกันเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่“The X cafe'” อาจจะเป็นแห่งแรกในโลกด้วยที่พัฒนาหนูสายพันธุ์นี้ได้สำเร็จ เนื่องจากที่ผ่านมาได้พยายามสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ แล้ว ยังไม่ปรากฏข้อมูลยืนยันว่ามีผู้ที่พัฒนาสายพันธุ์หนูที่มีลักษณะนี้เป็นผลสำเร็จแต่อย่างใด โดยพบแต่เพียงการเพาะขยายพันธุ์หนูไม่มีขนในต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังไม่พบหนูที่มีลักษณะพิเศษเหมือน “หนูสฟิงซ์” ที่ทั้งไม่มีขนและผิวหนังเหี่ยวย่น ทั้งนี้ทาง“The X cafe'”ได้เริ่มนำ “หนูสฟิงซ์” ออกจัดแสดงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทั้งงานกิจกรรมที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ รวมทั้งถ่ายรูปโพสต์เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ที่ให้ความสนใจจากผู้ที่ชื่นชอบสัตว์เลี้ยงแปลกเป็นอย่างมาก


โดยภายหลังจากที่มีการนำออกจัดแสดงแล้ว มีผู้ติดต่อขอซื้อ “หนูสฟิงซ์” เข้ามาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นสามารถแบ่งขายไปได้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ในราคาตัวละ 10,000-15,000 บาท ส่วนที่เหลืออีกนับร้อยรายต้องให้จ่ายมัดจำจองซื้อไว้ล่วงหน้า เนื่องจากหนูที่เพาะขยายพันธุ์ได้ยังมีจำนวนจำกัดและส่วนหนึ่งจำเป็นต้องคัดแยกเก็บไว้เพื่อเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งผู้ที่ติดต่อขอซื้อต่างเข้าใจดีและพร้อมที่จะรอ ขณะที่ในอนาคตทาง“The X cafe'” เตรียมที่จะพัฒนาสายพันธุ์ “หนูสฟิงซ์” ต่อเนื่องไปอีก เพื่อให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่นมีลวดลายสีสันต่างๆ ที่สวยงาม สำหรับผู้ที่สนใจ “หนูสฟิงซ์” หรือสัตว์แปลกอื่นๆ ของ“The X cafe'”สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอความรู้ได้ทางเฟซบุ๊ก “The X café”.








กำลังโหลดความคิดเห็น