เครือซีพี-CPP ผนึกภาครัฐ ร่วมสร้างเครือข่ายผู้นำเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม ผลักดันป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นพิษ PM 2.5 ในภาคเหนือต่อเนื่อง
เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวพิไลลักษณ์ พิชัยวัตต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วยสำนักโครงการพระราชดำริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPP) และคณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนบ้านเวียงแก้ว ระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จำนวน 40 คน ร่วมดำเนินโครงการค่ายผู้นำเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ ENVI camp For young talent : LESS is more l Carbon credit ภายใต้หลักสูตร Sustainable Leadership Development Program : SLDP
โดยมีเยาวชนต้นแบบ “แอนโทนี ปิยชนม์” ร่วมให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนภาคเหนือ เล็งเห็นถึงความสำคัญและตระหนักรู้ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรียนรู้ และมีส่วนร่วมป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ณ โรงเรียนบ้านเวียงแก้ว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
นางสาวพิไลลักษณ์ พิชัยวัตต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมในภาคเหนือ โดยเฉพาะปัญหาภูเขาหัวโล้น และหมอกควัน ไฟป่า ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เครือซีพีให้ความสำคัญ และเป็นความท้าทายที่ต้องเร่งและเข้ามาขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืน
ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาเครือฯ เข้าไปดำเนินงานในพื้นที่ 4 ต้นน้ำสำคัญ ได้แก่ ปิง วัง ยม น่าน เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอาชีพชุมชนบนพื้นที่สูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการรุกป่า ลดการเผา ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ เครือฯ ยังให้ความสำคัญในการปลูกฝังเด็กและเยาวชนในภาคเหนือ ให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมในถิ่นฐานบ้านเกิดตนเอง จึงเกิดเป็นโครงการผู้นำเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ SLDP โดยบูรณาการองค์ความรู้และกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถานศึกษาต่างๆ โดยมี เยาวชนต้นแบบ “แอนโทนี ปิยชนม์” ที่สามารถเป็นบุคคลต้นแบบและเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญแก่เยาวชนคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
กิจกรรมต่างๆ วางรูปแบบให้มีสารบันเทิงพร้อมกับการสอดแทรกความรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเครือฯ มุ่งหวังว่าโครงการดังกล่าวฯ จะสร้างเครือข่ายเยาวชนผู้นำรักษ์สิ่งแวดล้อมที่จะกลายเป็นบุคลากรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในอนาคตได้
นายชัยชาญกิตติ์ รักนา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเวียงแก้ว กล่าวว่า โรงเรียนฯ เปิดการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งที่ผ่านมา โรงเรียนให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมมาตลอด โดยทุกกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้นจะมีการสอดแทรกเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยการปลูกต้นไม้และการดูแลรักษา การให้องค์ความรู้เรื่องประโยชน์ของต้นไม้ทั้งต่อตนเอง ต่อชุมชน และโลก อีกส่วนหนึ่งคือการมีส่วนร่วมเป็นจิตอาสาในชุมชน ปลูกป่าชุมชน ทำแนวกันไฟ ทำให้เด็กนักเรียนเกิดความผูกพัน รักผืนป่าชุมชนที่ปลูกเอง พร้อมกับสอดแทรกในเรื่องผลกระทบถ้าไม่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิด PM 2.5 ภาวะโลกร้อนจะตามมา ซึ่งในเรื่องนี้นักเรียนมีความสนใจมาก
สำหรับโครงการค่ายกิจกรรมในครั้งนี้ รู้สึกดีใจมากที่ภาคเอกชนหรือซีพี ได้เห็นความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมกับชุมชนและโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะเชื่อว่า “การป้องกัน ดีกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อชุมชนเห็นพลังของเด็กก็จะเกิดจิตสำนึกร่วมขึ้นมา จึงอยากให้มีกิจกรรมต่อเนื่อง
นายปิยชนม์ ภุมวิภาชน์ หรือน้องแอนโทนี ยุวทูต องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ SEAMEO วัย 18 ปี เปิดใจว่า มีความสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านสันกอง ต.แม่ไร่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งรายรอบไปด้วยต้นไม้ป่าไม้ รวมถึงได้รับความรู้ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม จึงคิดว่าสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัว
รวมถึงเห็นปัญหาของฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เกิดขึ้นใน จ.เชียงรายและที่อื่นๆ ในภาคเหนือ โดยเฉพาะเมื่อปี 2022 ที่มีฝุ่นควันหนักที่สุด ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งจากการกระทำของมนุษย์ในการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการทำเกษตรกรรม การเผาวัสดุทางการเกษตร และเกิดจากไฟป่าธรรมชาติ
จึงเริ่มมีแรงบันดาลใจและมีแนวคิดที่ว่า “ถ้าเราไม่ทำ ใครจะทำ” โดยเป้าหมายสูงสุด คือ การให้ทุกคนที่ทำโครงการหรือเรื่องราวดีๆ แต่ไม่มีกำลังมากพอ มีช่องทางนำเสนอที่สามารถเข้าถึงหน่วยงานต่างๆ ได้รับโอกาสในการสนับสนุนการทำงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ให้เกิดความยั่งยืน เหมือนที่ตนเองได้รับต่อไป โดยเชื่อว่าในอนาคตถ้าทุกคนและทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมมาช่วยกัน ปัญหา PM 2.5 ในภาคเหนือจะหมดไปได้อย่างแน่นอน
สำหรับการจัดค่ายในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้จากหลายหน่วยงาน เช่น กรมป่าไม้ มาให้ความรู้ในเรื่องคุณค่าของป่าไม้ และประเภทของป่าไม้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มาร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้ในการวิเคราะห์ชุมชน กิจกรรมสำรวจชุมชน เพื่อให้เด็กๆ ร่วมออกแบบพัฒนาชุมชนในมิติต่างๆ และเครือซีพี มาร่วมให้ความรู้เรื่องก๊าซเรือนกระจก ภาวะโลกร้อน การวัดการเติบโตของต้นไม้ ในการกักเก็บคาร์บอน การเพาะเมล็ดผัก และสอดแทรกเกมสนุกๆ เพื่อสร้างสาระความบันเทิงให้แก่เด็กๆ ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พร้อมๆ ไปกับการได้รับความรู้ไปอย่างเต็มเปี่ยม โดยมุ่งหวังว่าหลังจากนี้เด็กนักเรียนทุกคนจะสามารถเป็นกำลังสำคัญให้ชุมชนในการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน