กาญจนบุรี - ผู้ว่าฯ เมืองกาญจน์ห่วงแรงงานในอิสราเอล สั่งนายอำเภอเยี่ยมครอบครัว เติมกำลังใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
จากกรณีเกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นที่อิสราเอล ทำให้แรงงานชาวไทยได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งเสียชีวิตและถูกจับตัวเป็นประกันหลายรายนั้น จากรายงานของสำนักงานจัดหางานจังหวัดกาญจนบุรี ที่ได้ตรวจสอบข้อมูลแรงงานไทยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่ไปทำงานในอิสราเอล จนถึงปัจจุบันพบว่า มีจำนวนทั้งหมด 24 คน เป็นชาย 23 คน หญิง 1 คน ตำแหน่งงานที่ทำเป็นคนงานภาคเกษตร จำนวน 18 คน การเกษตร 3 คน ช่างเชื่อม จำนวน 2 คน และพ่อครัวชั้นหนึ่ง จำนวน 1 คน
วันนี้ (19 ต.ค.) นายฑรัท เหลืองสอาด นายอำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุข้างต้น ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มีความห่วงใยแรงงานและครอบครัวของแรงงานที่ไปทำงานประเทศอิสราเอลเป็นอย่างมาก ซึ่งอำเภอท่าม่วง มีแรงงานเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล จำนวน 3 ราย
รายแรกคือ นายสกล สุขกรม ชาวบ้านหมู่ 2 ต.หนองขาว โดยครอบครัวสามารถติดต่อสื่อสารกันได้และปลอดภัยดี ซึ่งครอบครัวแจ้งให้ทราบว่า นายสกล สุขกรม ไปทำงานเกษตรกรรมได้ประมาณ 2 ปีเศษ (สัญญาจ้าง 5 ปี) โดยสถานที่ทำงานและที่พักอาศัยอยู่ห่างจากจุดสู้รบประมาณ 60 กิโลเมตร
ซึ่งนายอำเภอท่าม่วงได้สอบถามเรื่องความประสงค์ที่จะเดินทางกลับมาประเทศไทยหรือไม่ ทางครอบครัวแจ้งว่านายสกล สุขกรม ยังมีความประสงค์ที่จะอยู่ประเทศอิสราเอลต่อไป หากในอนาคตต้องการจะเดินทางกลับประเทศไทยและต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดจะแจ้งทางครอบครัวเพื่อแจ้งผู้ใหญ่บ้านทราบต่อไป
รายที่สองคือ นายวันชนะ เซี่ยงฉิน ชาวบ้านหมู่ที่ 5 ตำบลท่าตะคร้อ จากการสอบถามบิดาของนายวันชนะ เซี่ยงฉิน ทราบว่า นายวันชนะ เซี่ยงฉิน ได้ย้ายไปอยู่นครราชสีมากับมารดาแต่ยังไม่ได้ย้ายออกจากทะเบียนบ้านของบิดา จึงมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลท่าตะคร้อ ทั้งนี้ ได้ประสานไปทางมารดาของนายวันชนะ เซี่ยงฉิน ทำให้ทราบข้อมูลเบื้องต้นว่า นายวันชนะ เซี่ยงฉิน ยังทำงานอยู่ที่ประเทศอิสราเอล และปลอดภัยดี
และรายที่สามคือ นายศิรณัชปกร พงษ์ศักดิ์ ชาวบ้านหมู่ที่ 4 ตำบลวังขนาย จากการสอบถามข้อมูลจากครอบครัว ทราบว่าปัจจุบันนายศิรณัชปกร พงษ์ศักดิ์ ได้เดินทางกลับประเทศไทยแล้วเมื่อประมาณ 2 เดือน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในอิสราเอล
ด้านนายชวโรจน์ มากแก้ว ปลัดอาวุโสรักษาการแทนนายอำเภอพนมทวน กล่าว่า อำเภอพนมทวนมีแรงงานเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล 1 ราย คือ นายเรวัต พรหมชนะ อายุ 37 ปี ชาวบ้านหมู่ 3 บ้านกระเจาบ่อยา ต.พังตรุ จากการเดินทางไปตรวจเยี่ยมพบนางวรรณา พรหมชนะ อายุ 66 ปี มารดาของนายเรวัต พรหมชนะ ซึ่งอาศัยอยู่กับบุตรของนายเรวัต พรหมชนะ ทราบข้อมูลว่านายเรวัต ได้เดินทางกลับจากประเทศอิสราเอลแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.66 แต่เดินทางต่อไปอาศัยกับภรรยาที่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ยังไม่เข้ามาบ้านที่อำเภอพนมทวน แต่อย่างใด
จากการพูดคุยกับนายเรวัต ทางโทรศัพท์มือถือ ทราบว่าได้ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล โดยขออนุญาตผ่านกระทรวงแรงงาน โดยทำงานเป็นแรงงานเกษตรกรรมปลูกผัก ผลไม้ เมื่อประมาณปี 2564 ทำงานได้ 2 ปีเศษ ด้วยสัญญาจ้าง 5 ปี โดยสถานที่ทำงานและที่พักอาศัยอยู่เขตเวสต์แบงก์ ห่างจากจุดสู้รบ ประมาณ 60 กิโลเมตร ขณะนั้นนายจ้างเห็นว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ จึงอนุญาตให้ตนลากลับประเทศไทยเป็นเวลา 45 วัน จึงทำให้ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด โดยนายเรวัต พรหมชนะ ยังมีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลในวันที่ 10 พ.ย.66 แต่จะต้องประเมินสถานการณ์ก่อน
ส่วนนายฉกาจ อาสาสนา ปลัดอาวุโส รักษาการแทนนายอำเภอเมืองกาญจนบุรี กล่าวว่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี มีแรงงานเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล จำนวน 1 คน คือนายอนุวัตน์ พุฒชาติ ชาวบ้านหมู่ที่ 3 ต.แก่งเสี้ยน จากการเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของนายอนุวัฒน์ เจ้าหน้าที่พบกับนางสหหลิน มานุเมาะ มารดาของนายอนุวัตน์ จากการสอบถามเบื้องต้น ทราบว่า นายอนุวัตน์ ไปทำงานเป็นเชฟทำอาหารที่ประเทศอิสราเอล ได้เพียง 6 เดือน มีรายได้ต่อเดือน 80,000 บาท ส่วนสถานที่พักและทำงานอยู่ห่างจากจุดที่มีการสู้รบประมาณ 5 กม. แต่ยังคงปลอดภัยและยังไม่อยากกลับประเทศไทยในเวลานี้
ด้านนายวิชัย ปัทมวิภาค นายอำเภอเลาขวัญ กล่าวว่า อำเภอเลาขวัญ มีแรงงานเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล 2 ราย รายแรกคือ นายสมหวัง สะเจา ชาวบ้านหมู่ 5 ต.หนองประดู่ จากการลงพื้นที่เยี่ยมและพูดคุยกับครอบครัวของแรงงานรายดังกล่าวเบื้องต้นทราบว่า นายสมหวัง เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลได้ประมาณ 4 ปีแล้ว โดยประกอบอาชีพทางการเกษตร อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุมาก ขณะนี้ยังไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ และไม่มีความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทย
รายที่สองคือ นายปัญญา รัตนปัญญา ชาวบ้าน หมู่ 10 ต.ทุ่งกระบ่ำ อ.เลาขวัญ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นายปัญญา ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล 3 เดือนแล้ว โดยประกอบอาชีพช่างเชื่อม อยู่ในเขตพื้นที่สีเหลือง มีสถานที่หลบภัย ขณะนี้ยังไม่ต้องการความช่วยเหลือและไม่มีความประสงค์กลับประเทศไทย
ที่ผ่านมา ตนได้มอบหมายให้ นายวีระ หิรัญกุล ปลัดอาวุโส น.ส.วาสนา สืบศักดิ์ พัฒนาการอำเภอ นางวงษ์เดือน ทองยิ้ม รองนายก อบต.หนองประดู่ เจ้าหน้าที่ อบต.ทุ่งกระบ่ำ พร้อมผู้นำชุมชนลงพื้นที่เยี่ยมเยียน เพื่อพบปะและให้กำลังใจแก่ครอบครัวของแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศอิสราเอลของอำเภอเลาขวัญ แล้ว โดยหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ทางหน่วยงานราชการพร้อมประสานงานให้ต่อไป
นายเนรมิต เหลืองอร่ามฟ้า นายอำเภอไทรโยค กล่าวว่า สำหรับอำเภอไทรโยคมีแรงงานเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล 2 ราย รายแรกคือ นายธรรมธร ทองเปราะ ชาวบ้านหมู่ 1 ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค โดยไปทำงานเกษตรกรรม อยู่ที่เมือง Avieim ประเทศอิสราเอล ผ่านบริษัทจัดหางาน โดยมีรายได้เดือนละ 40,000-50,000 บาท
ทั้งนี้ ในการลงพื้นที่ได้พบกับบิดาและมารดาของนายธรรมธร และได้มีการพูดคุยกับนายธรรมธร ผ่าน Video call ทราบว่าปัจจุบันปลอดภัยดี เนื่องจากมีหลุมหลบภัยทางตอนเหนือของอิสราเอล และได้รับการติดต่อจากหน่วยงานในพื้นที่เพื่อรอเดินทางกลับประเทศไทย หากกลับมาแล้วคาดว่าจะไปพักอาศัยกับครอบครัวที่อุดรธานี
รายที่สองคือ นายสรนรินทร์ มาสะอาด ชาวบ้านหมู่ 8 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จากการลงพื้นที่สอบถามผู้นำชุมชน พบว่า ครอบครัวของนายสรนรินทร์ ไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่แล้ว มีเพียงปู่กับย่าเท่านั้น เนื่องจากครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่จังหวัดระยอง และจากการโทรศัพท์ไปสอบถามกับมารดาของนายสรนรินทร์ พบว่ายังอยู่ในสถานการณ์และพื้นที่ปลอดภัย
ขณะที่นายไพโรจน์ ไกรทอง รักษาราชการแทนนายอำเภอบ่อพลอย กล่าวว่า อำเภอบ่อพลอยมีแรงงานไปทำงานที่อิสราเอล 2 ราย รายแรกคือ นายณรงค์วิทย์ ศรีดา อายุ 29 ปี ชาวบ้านหมู่ 11 ต.หนองกุ่ม จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นายณรงค์วิทย์ ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลเป็นระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน โดยไปประกอบอาชีพทางการเกษตร มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท มีสมาชิกในครอบครัวจำนวน 6 คน
จากการพูดคุยกับแม่ของนายณรงค์วิทย์ แจ้งว่านายณรงค์วิทย์ ยังคงปลอดภัย เนื่องจากเมืองที่ทำงานอยู่นั้นไม่ใช่เมืองที่เกิดสงคราม อีกทั้งมีที่หลบภัยภายในบ้านของนายจ้าง ซึ่งนายณรงค์วิทย์ได้ติดต่อเพื่อขอเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว โดยอยู่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ
และรายที่สองคือ นายปิยะ เขียวแก้ว ชาวบ้านหมู่ 11 ต.หลุมรัง จากการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวพบว่านายปิยะ เดินทางกลับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา สาเหตุเนื่องจากมีปัญหาทางด้านสุขภาพ มีโรคประจำตัว ปัจจุบันทำงานในร้านประดับยนต์ใน กทม.
ด้านนางอรทัย วงศ์วัชรมงคล นายอำเภอหนองปรือ เปิดเผยว่า อำเภอหนองปรือมีชาวบ้านเดินทางไปทำงานที่อิสราเอล จำนวน 1 ราย คือ นางไพรัตน์ ใจมั่น อายุ 36 ปี ชาวบ้านหมู่ 10 ต.หนองปรือ โดยไปใช้แรงงานเกี่ยวกับเกษตรกรรม ที่เมืองเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล โดยนางไพรัตน์ ได้ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลเป็นเวลา 3 ปีแล้ว มีรายได้ 53,000 บาทต่อเดือน
จาการลงพื้นที่ได้พบกับนางมณี ใจมั่น อายุ 71 ปี แม่ของนางไพรัตน์ และได้มีการพูดคุยกับนางไพรัตน์ ผ่าน Video call ทราบว่าปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และได้รับผลกระทบจากสงครามบ้าง แต่ยังอยู่ในภาวะที่ปลอดภัยดี ซึ่งได้แจ้งกับนางไพรัตน์ และครอบครัวว่าท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และท่านนายกเหล่ากาชาดจังหวัดมีความห่วงใยและส่งกำลังใจมาให้ ทางนางไพรัตน์ และครอบรู้สึกดีใจมาก และฝากขอบพระคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีและท่านนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรีมา ณ ที่นี้ด้วย