ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ชาวบ้านห้วยแถลง โคราชฮึดทวงคืนปราสาท โวยที่พักสงฆ์สร้างทับโบราณสถาน “ปราสาทหินโคกปราสาท” กรมศิลปากรมีคำสั่งรื้อมานาน 1 ปียังไม่ดำเนินการ แต่กลับขยายก่อสร้างต่อเนื่อง โอดต่อสู้ทวงคืนปราสาทมาหลายปีตั้งแต่เริ่มก่อสร้างอาคาร ร้องหลายหน่วยงานแต่ไม่มีทีท่าจะได้คืน กลับถูกดำเนินคดีสารพัดนับสิบคดีจนชาวบ้านเริ่มถอดใจ
วันนี้ (18 ก.ย. 66) มีตัวแทนชาวบ้านบ้านหลุ่งตะเคียน และบ้านตะเคียนทอง ตำบลหลุ่งตะเคียน อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา พากันมายืนถือป้ายประท้วง บริเวณทางเข้าที่พักสงฆ์วัดโคกปราสาท ตำบลหลุ่งตะเคียน อำเภอห้วยแถลง หลังจากเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาได้มีกรณีพิพาทชาวบ้านรวมตัวกันร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงานราชการ กรณีที่พักสงฆ์ปลูกสร้างอาคารคร่อมทับตัวปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียนหรือปราสาทหินโคกปราสาท
จนทำให้ชาวบ้านไม่สามารถเข้ามาท่องเที่ยวและประกอบพิธีกรรมความเชื่อที่สืบทอดกันมาได้ จนนำไปสู่การเข้ามาตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน กระทั่งมีคำสั่งกรมศิลปากรเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ให้ที่พักสงฆ์รื้ออาคารปฏิบัติธรรมที่ปลูกคร่อมทับลงไปบนตัวปราสาทหินออก ท่ามกลางความยินดีของชาวบ้านที่มีความหวังจะได้ปราสาทหินโบราณคู่บ้านคู่เมืองกลับมาคืน
แต่ล่าสุด หลังจากกรมศิลปากรมีประกาศคำสั่งฉบับดังกล่าว ผ่านมาแล้วเกือบ 1 ปีก็ยังคงไม่มีการบังคับใช้ ทราบเบื้องต้นว่า ที่พักสงฆ์ได้ร้องศาลปกครองขอคุ้มครองคำสั่งของกรมศิลปากรฉบับดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ชาวบ้านจึงได้รวมตัวมาทวงถามกันอีกครั้ง
นางสำรวย สุทธิแพทย์ หนึ่งในชาวบ้านที่ออกมาเรียกร้องทวงคืนโบราณสถานฯ เปิดเผยว่า ในครั้งแรกที่ทราบว่ากรมศิลปากรได้มีคำสั่งให้รื้ออาคารปฏิบัติธรรมออกจากตัวปราสาทหิน ชาวบ้านต่างดีใจคิดว่าคงจะได้ปราสาทหินโบราณคู่บ้านคู่เมืองกลับมาเป็นของชาวบ้านดังเดิม จนมีการเตรียมงานเทศกาลบุญเดือน 6 ที่ชาวบ้านจะได้บวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่สิงสถิตอยู่ที่ปราสาทหินเหมือนเช่นที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา แต่กลับไม่มีการรื้ออาคารดังกล่าวเกิดขึ้น ชาวบ้านก็ต้องจัดงานที่ศาลากลางหมู่บ้านเช่นเดิม เพราะตั้งแต่มีการสร้างที่พักสงฆ์แห่งนี้ชาวบ้านไม่สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ปราสาทหินจัดงานอีกได้เลย
จากเดิมชาวบ้านแทบจะทั้งหมู่บ้านเห็นด้วยกับการเรียกร้องทวงคืนปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียน แต่เมื่อคดีเริ่มดำเนินไปโดยไม่มีท่าทีว่าชาวบ้านจะทวงคืนปราสาทได้โดยง่าย และแกนนำชาวบ้านหลายรายถูกแจ้งความดำเนินคดี ทั้งอั้งยี่ซ่องโจร แจ้งความเท็จ หมิ่นประมาทและคดีอื่นๆ อีกนับสิบคดี ทำให้ชาวบ้านหลายรายเริ่มถอดใจ ไม่ขอต่อสู้เรียกร้องกันต่อ
เนื่องจากในครั้งอดีตเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่กำลังก่อสร้างอาคารปฏิบัติธรรมหลังนี้ ชาวบ้านก็เคยร้องเรียนไปที่กรมศิลปากร จนกระทั่งกรมศิลปากรมีคำสั่งให้ที่พักสงฆ์หยุดการก่อสร้าง แต่ที่พักสงฆ์ก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม ยังคงก่อสร้างต่อได้ จนขยายออกไปเรื่อยเป็นที่พักสงฆ์ขนาดใหญ่โตเช่นทุกวันนี้ ทำให้ปัจจุบันเหลือชาวบ้านเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นที่ยังคงเดินหน้าต่อสู้เรียกร้องกันต่อไป เพราะไม่อยากให้ปราสาทหินโบราณเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองตกเป็นสมบัติส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง