โครงการ “วอร์เตอร์ฟรอนด์ สวีท แอนด์ เรสซิเดนท์” พัทยา จ.ชลบุรี เป็นโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมสุดหรู ตั้งตระหง่านริมอ่าวพัทยา บริเวณท่าเรือแหลมบาลีฮาย ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นโครงการที่มีขนาดความสูง 53 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ 1 งาน 83 ตารางวา บริหารงานโดยบริษัท บาลีฮาย จำกัด ที่ได้ยื่นขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างจากเมืองพัทยาในปี พ.ศ.2551 จากจำนวนห้องพัก 312 ห้อง ซึ่งในครั้งนั้นมีกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติพากันเช่าซื้อในราคาตั้งแต่ 4-12 ล้านบาทกันอย่างคึกคัก
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงในเมืองพัทยาว่า กรณีที่ นายอิทธิพล คุณปลื้ม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยาและพวกได้พิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (แบบ อ.1) เลขที่ 700/2551 ลงวันที่ 10 กันยายน 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ ฟร้อนท์ เป็นการพิจารณาอนุญาตอย่างถูกต้องหลังทางโครงการได้ยื่นเอกสารสำคัญประกอบการพิจารณา
ทั้งเรื่องกรรมสิทธิ์เอกสารการครอบครองที่ดิน แบบแปลนอาคาร รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และข้อมูลอื่นๆ ประกอบร่วมเพื่อให้เมืองพัทยาตรวจสอบ โดยขณะนั้นยังไม่มีเรื่องของการพิจารณาหรือคำสั่งในเรื่องของที่ดินว่ามีที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่แต่อย่างใด
ดังนั้น การพิจารณาออกใบอนุญาตจึงถือว่าเมืองพัทยาทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ รวมไปถึงการพิจารณาต่อใบอนุญาตครั้งแรกหลังผ่านพ้นเวลาตามกำหนดของกฎหมายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งมีเงื่อนไขของการพิจารณาว่าโครงการจะต้องมีความคืบหน้าการก่อสร้างไปในสัดส่วน 10% ซึ่งเป็นไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนด
กระทั่งในช่วงปลายปี 2551 นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างโครงการ โดยระบุว่า เมืองพัทยา ไม่สามารถต่อใบอนุญาตก่อสร้างในรอบที่ 3 ให้ได้เนื่องจากตรวจพบว่ามีการก่อสร้างผิดแบบตั้งแต่ฐานราก เช่นเดียวกับตำแหน่งช่องลิฟต์และบันไดหนีไฟ
และยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักการช่าง เข้าตรวจสอบสภาพตัวอาคารเพื่อให้แก้ไขรายละเอียดแบบแปลนรวม 42 จุด และในช่วงปลายปี 2559 เจ้าของโครงการได้แจ้งต่อ เมืองพัทยา ว่าพร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดตามกฎหมาย รวมทั้งการลดระดับความสูงของอาคารลง 8 ชั้นเพื่อลดผลกระทบต่อภาคประชาชนที่กำลังต่อต้านอย่างหนัก เนื่องจากโครงการบดบังภูมิทัศน์และตั้งขวางแนวอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บนเขา สทร.5 พัทยา
โดยในช่วงที่เมืองพัทยายังไม่ออกใบอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้าง พร้อมมอบหมายให้นิติกรเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อบริษัท บาลีฮาย จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการใน 2 ข้อหาคือ 1.ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น และ 2.บุกรุกพื้นที่สาธารณะบริเวณเชิงเขา ทำให้กลุ่มผู้ซื้อห้องพักรวมตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ และความเสียหาย จนโครงการต้องยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการหลังต้องแบกภาระหนี้กว่า 2.39 พันล้านบาท ในปี 2561 แต่ศาลไม่รับคำร้อง
ขณะที่ นายอภิชาต วีปรปาล รองนายกเมืองพัทยา ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช.ในปี 2560 ได้ลงนามคำสั่งเมืองพัทยาแบบ ค.15 เลขที่ 367/2560 ประกาศให้มีการรื้อถอนอาคารตามมาตรา 4 และ 43 วรรคสาม (กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคาร หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงใบอนุญาต) โดยแจ้งความไปยังบริษัท บาลีฮาย จำกัด
โดยระบุว่า ตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนอาคาร การรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง กรณีที่กระทำผิดไปจากที่ได้รับอนุญาตหรือคำสั่งห้ามใช้อาคารหรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารที่อาจเป็นภยันตรายตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งและมาตร 41 วรรคหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าทางโครงการมิได้ดำเนินการให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42 และ มาตรา 43 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.25111 ให้ทำการรื้ออาคาร ค.ส.ล.50 ชั้น 3 ชั้นใต้ดิน ขนาด 19.70×91.35 เมตร จำนวน 1 หลัง ในส่วนที่ไม่ตรงกับแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้แล้วเสร็จใน 365 วันหลังได้รับคำสั่ง โดยหากพ้นระยะเวลาที่กำหนดจะดำเนินการทางกฎหมาย
และในปี 2563 นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาคนต่อมา ได้ลงนามหนังสือประกาศคำสั่งเมืองพัทยาที่ ชล. 52304/9377 ลงวันที่ 27 ต.ค.2563 ออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนร่วมเสนอราคาและวิธีการรื้อถอนอาคารอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
โดยมีเนื้อหาระบุว่า เมืองพัทยาจำเป็นต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารโครงการ ซึ่งก่อสร้างผิดแบบจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหลังมีคดีความยืดเยื้อมานานนับ 10 ปี จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมว่าโครงการดังกล่าวจะจบลงอย่างสวยงาม และมีการใช้อำนาจทางกฎหมายเข้ามาดำเนินการได้จริงเพียงใด
และปัจจุบัน ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด นายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา พร้อมพวกออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าในเวลาต่อมา คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวดชลบุรี ได้มีมติยกเลิกเพิกถอนคำสั่งรื้อถอนของเมืองพัทยา โดยระบุว่าทางโครงการได้มาเสนอเรื่องเพื่อดำเนินการก่อสร้างและแก้ไขแบบแปลนต่อแต่เมืองพัทยาไม่พิจารณาอนุญาต
อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องของการลงนามคำสั่งรื้อถอนอาคารนั้นพบว่าเป็นการลงนามของเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งดังกล่าว จนมาในช่วงปลายปี 2565 ทางโครงการจึงได้มายื่นขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างอีกครั้ง และเมืองพัทยากำลังพิจารณาความเหมาะสม แต่มีหนังสือจาก ป.ป.ช.ให้ระงับการอนุญาตโครงการด้วย เพราะที่ดินที่ตั้งของโครงการมีการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย